นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการทางการเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และหัวหน้าสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ไม่ใช่แค่กระแส แต่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โดยการทำให้ AI เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญขององค์กรนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะกลยุทธ์ AI จะทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถก้าวหน้าไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและทำให้คู่แข่งตามทันได้ยาก
“ในปีนี้ Gen AI จะถูกพัฒนาและนำมาใช้งานเพื่อบรรลุกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างจริงจังและแพร่หลายมากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมา Gen AI ได้รับการตอบรับที่ดีมากในตลาดไทย โดยองค์กรหลายแห่งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลากหลายมิติไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ การตลาดแบบเฉพาะบุคคล การยกระดับการให้บริการลูกค้า การพัฒนาเกมและความบันเทิงให้มีความน่าสนใจ รวมไปจนถึงการใช้งานด้านการศึกษาและการฝึกอบรม” นางสาว วิไลพร กล่าว
“สำหรับภาคธุรกิจ AI ยังเป็นเทคโนโลยีที่ PwC และลูกค้าของเราในหลายอุตสาหกรรมได้นำมาใช้เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเขียนโค้ด การสนับสนุนลูกค้าด้วยแชทบอท AI ที่มีการปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์และการจัดการคำถามที่ซับซ้อน รวมไปถึงการยกระดับทักษะและการฝึกอบรมพนักงานผ่านแพลตฟอร์ม AI ให้เหมาะกับรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคน”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance Center หรือ AIGC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ที่ได้เผยผลสำรวจ ความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับบริการดิจิทัลประจำปี 2567 (AI Readiness Measurement 2024) ระบุว่า สัดส่วนขององค์กรไทยที่ประยุกต์ใช้งาน AI แล้วเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.8% จากปี 2566 อยู่ที่ 15.2% และยังมีองค์กรที่จะเตรียมใช้งาน AI ในอนาคตสูงถึง 73.3%
เมื่อเดือนธันวาคม 2567 บทความ ‘2025 AI Business Predictions’ ของ PwC ได้ระบุถึงการช่วยลูกค้าเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วย AI ว่า บริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจะเปลี่ยนจากการไล่ตามกรณีการใช้ AI ไปสู่การใช้ AI เพื่อเติมเต็มกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยกระบวนการทำงานพื้นฐานจะเปลี่ยนแปลงไป แต่มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสอนและจัดการ AI ในขณะที่พวกเขาจะสามารถทำงานในรูปแบบอัตโนมัติได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เกือบครึ่ง (49%) ของผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ตอบแบบสำรวจรายงาน Pulse Survey ของ PwC ประจำเดือนตุลาคม 2567 กล่าวว่า ได้ผนวก AI เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจหลักของบริษัทของพวกเขาอย่างเต็มรูปแบบ และหนึ่งในสามกล่าวว่า AI ได้รับการผนวกเข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการอย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ นางสาว วิไลพร ยังได้คาดการณ์ทิศทางการพัฒนาของ AI ในปีนี้ ดังต่อไปนี้
1. การปรับแต่งเฉพาะบุคคลขั้นสูง: Gen AI จะเสนอการปรับแต่งที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยระบบมีความสามารถในการสร้างเนื้อหาและประสบการณ์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล โดยอิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจบูรณาการ AI เข้ากับเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความเป็นจริง (augmented reality: AR) และเทคโนโลยีความจริงเสมือน (virtual reality: VR) เพื่อเสริมประสบการณ์เฉพาะบุคคล
2. การร่วมมือกับมนุษย์ที่มากขึ้น: เครื่องมือ Gen AI จะสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการสร้างสรรค์ เสนอแนะ และการทำซ้ำความคิดแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลากหลายโดเมน
3. กำหนดกรอบจริยธรรมและระเบียบข้อบังคับ: การใช้ Gen AI อย่างแพร่หลายจะนำไปสู่แนวปฏิบัติและระเบียบข้อบังคับด้านจริยธรรมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเน้นถึงความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และการลดอคติ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ
4. ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม: การพัฒนาเทคโนโลยี Gen AI อาจเน้นที่ความยั่งยืน โดยใช้ AI เพื่อสร้างโซลูชันสำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากร หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
5. การรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันจะถูกยกระดับ: Gen AI สามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน เช่น การสร้างโปรโตคอลความปลอดภัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ หรือการจำลองภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นเพื่อการเตรียมความพร้อมรับมือที่ดีขึ้น
6. AI ในศิลปะสร้างสรรค์: ศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานศิลปะอาจใช้ Gen AI มากขึ้นเพื่อขยายขอบเขตของงานศิลปะ ซึ่งจะนำไปสู่ศิลปะประเภทใหม่ ๆ ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์กับเนื้อหาที่สร้างโดยเครื่องจักร (machine-generated content)
ธุรกิจต้องเน้นย้ำถึง ‘Responsible AI’
นางสาว วิไลพร กล่าวต่อว่า ภาคธุรกิจยังคงต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้งาน AI เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งที่ผ่านมา PwC ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและนำแนวทางปฏิบัติด้าน AI อย่างมีความรับผิดชอบ (responsible AI) ไปประยุกต์ใช้กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยควรยึดหลักสี่ประการ ดังต่อไปนี้
1. การออกแบบและการใช้งานตามจริยธรรม: AI ควรได้รับการออกแบบและใช้งานในลักษณะที่เคารพสิทธิมนุษยชนและปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งรวมถึงการให้ความยุติธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบในระบบ AI
2. การลดอคติ: องค์กรต่าง ๆ ควรนำกลยุทธ์มาใช้เพื่อระบุและลดอคติในโมเดล AI ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ชุดข้อมูลที่หลากหลาย การตรวจสอบเป็นประจำ และเครื่องมือตรวจจับอคติเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยุติธรรม
3. ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว: การปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการรับรองมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรต่าง ๆ ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบการปกป้องข้อมูลที่เกี่ยวข้องและนำแนวทางจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยมาใช้
4. การกำกับดูแลและความรับผิดชอบ: การกำหนดโครงสร้างการกำกับดูแลที่ชัดเจนสำหรับโครงการด้าน AI ถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบ การจัดตั้งกลไกการกำกับดูแล และการรับรอง
“การกำกับดูแล AI อย่างมีความรับผิดชอบ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องมีเพื่อสร้างความไว้วางใจและจัดการความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ โดยการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะผ่านทีมตรวจสอบภายในที่มีทักษะสูง หรือผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการใช้งาน AI และยังเป็นแนวทางที่จะดึงศักยภาพของ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัล” นางสาว วิไลพร กล่าว
ในส่วนของการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม (AI ethics) นั้น ข้อมูลจากผลสำรวจ ความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับบริการดิจิทัลประจำปี 2567 ของศูนย์ AIGC โดย ETDA ระบุว่า มีเพียง 16.5% ขององค์กรไทยที่นำ AI ethics มาประยุกต์ใช้ภายในองค์กรแล้ว ในขณะที่ 43.7% กำลังเริ่มวางแนวคิดในการนำ AI ethics มาปรับใช้