หัวเว่ย คลาวด์ เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบ Hybrid Multi-Cloud ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยี Ubiquitous Cloud Native Service (UCS) โครงสร้างพื้นฐานนี้รองรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบรวมถึง คลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) การใช้บริการคลาวด์จากหลายผู้ให้บริการพร้อมกัน (Multiple Cloud) เอดจ์คลาวด์ (Edge Cloud) และการติดตั้งภายในองค์กร ตอบโจทย์ความต้องการของนักพัฒนาและวิศวกรแพลตฟอร์ม
อีกทั้งยังนำเสนอผลิตภัณฑ์คอนเทนเนอร์แบบไร้เซิร์ฟเวอร์ (Serverless) สองรายการ ได้แก่ Cloud Container Engine (CCE) Autopilot และ Cloud Container Instance (CCI) ซึ่งมีความโดดเด่นในด้านความสามารถในการขยายขนาดและความรวดเร็วในการเริ่มใช้งาน ทำให้ผู้ใช้มีความยืดหยุ่น และรองรับการขยายตัวของปริมาณการใช้งานได้สูงถึง 10 เท่าของการใช้งานปกติอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ในยุคของการสร้างเนื้อหาด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI-generated content: AIGC) เทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการประมวลผล AI และหัวเว่ย คลาวด์ CCE Turbo มอบความสามารถในการคำนวณ AI ที่ทรงพลังในรูปแบบคลาวด์เนทีฟ โดยใช้เทคโนโลยีการประมวลผลจาก Ascend เพื่อรองรับการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างไรก็ดี จากการดำเนินการดังกล่าวทำให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำระดับโลกในรายงาน Omdia Universe: Cloud Container Management & Services, 2024 - 25 โดยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับหนึ่งของโลกในด้านบริการคอนเทนเนอร์ จากกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการดำเนินงาน
อีกทั้ง การมีบทบาทอย่างต่อเนื่องของ หัวเว่ย คลาวด์ ในด้านโอเพนซอร์ส (Open-Source) ยังได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยได้สนับสนุนโครงการหลักหลายโครงการ เช่น KubeEdge, Volcano และ Karmada สู่ Cloud Native Computing Foundation (CNCF) และยังคงนำเสนอโครงการนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น Kuasar และ Kmesh ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลและความเป็นผู้นำของ หัวเว่ย คลาวด์ ในวงการทั่วโลก
หัวเว่ย คลาวด์ ได้ดำเนินกลยุทธ์การขยายตัวสู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในด้านศักยภาพการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลทั่วโลก ปัจจุบัน หัวเว่ย คลาวด์ มีศูนย์การให้บริการ จำนวน 93 แห่งใน 33 ภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงให้บริการลูกค้าในมากกว่า 170 ประเทศและภูมิภาคต่างๆ ในขณะที่คลาวด์เนทีฟกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หัวเว่ย คลาวด์ กำลังขยายบริการคอนเทนเนอร์ไปทั่วโลก เพื่อเสริมศักยภาพในการขับเคลื่อนผลลัพธ์ในด้านดิจิทัลขององค์กร ความต้องการในการประมวลผลแบบคลาวด์เนทีฟเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคอนเทนเนอร์ของ หัวเว่ย คลาวด์ มีอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) มากกว่า 70% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ในประเทศไทย หัวเว่ย คลาวด์ ได้พัฒนาเป็นพันธมิตรชั้นนำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล เช่น สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการของ สยามพารากอน (Siam Paragon), สยามเซ็นเตอร์ (Siam Center) และ สยามดิสคัฟเวอรี่ (Siam Discovery) รวมถึงพันธมิตรการร่วมทุนของ ไอคอนสยาม (ICONSIAM), ไอซีเอส (ICS)
และ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ (Siam Premium Outlets Bangkok) โดย สยามพิวรรธน์ได้นำ หัวเว่ย คลาวด์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการประมวลผลคลาวด์ครบวงจรของหัวเว่ย มาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ONESIAM ซึ่งเชื่อมต่อประสบการณ์การช็อปปิ้งและบริการไว้ที่เดียว