เปิดใจซีอีโอหญิง ผู้ขับเคลื่อน”ยิบอินซอย”ก้าวข้ามสู่ธุรกิจร้อยปี

10 ต.ค. 2567 | 06:22 น.

เปิดใจ "มรกต ยิบอินซอย" ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลยิบอินซอย ในฐานะผู้หญิงเก่ง และแกร่ง ที่เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจเก่าแก่อย่าง”ยิบอินซอย” ให้ก้าวข้ามผ่านปีที่ 100

'ยิบอินซอย' บริษัทสัญชาติไทยที่มีอายุเกือบ “100 ปี” เริ่มต้น จากธุรกิจ 'เหมืองแร่' สู่ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีในไทย อย่างไรก็ตามธุรกิจของ “ยิบอินซอย” ส่วนใหญ่เป็นลักษณะ ธุรกิจต่อธุรกิจ หรือ B2B  เป็นหลัก    ล่าสุดชื่อ “ยิบอินซอย” กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อีกครั้งภายหลังจากร่วมพันธมิตร  เข้าซื้อกิจการ 'Robinhood' จากอ้อมอกยานแม่ SCBX มูลค่าซื้อขายกิจการรวม 2,000 ล้านบาท  ถือเป็นการเปิดศักราขใหม่ของยิบอินซอย ในการขยับเข้าสู่ธุรกิจแบบ B2C  และ Platform as a Service  ที่สามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่บริการดิจิทัลหลากหลายในอนาคต

เปิดใจซีอีโอหญิง ผู้ขับเคลื่อน”ยิบอินซอย”ก้าวข้ามสู่ธุรกิจร้อยปี

ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลยิบอินซอย  ในฐานะผู้หญิงเก่ง และแกร่ง ที่เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจเก่าแก่อย่าง”ยิบอินซอย” ให้ก้าวข้ามผ่านปีที่ 100  ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก ธุรกิจ  และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว   

นางมรกต เล่าถึงเส้นทางการทำงานในยิบอินซอยจนก้าวขึ้นมาผู้นำสูงสุดองค์กร โดยระบุว่า ที่จริงแล้ว ตอนแรกเรียนจบสถาปัตยกรรมจากจุฬาฯ เกียรตินิยมอันดับ 2   ไม่ได้มีความคิดว่าจะเข้ามาทำงานในธุรกิจของครอบครัว   โดยในครอบครัวเองก็ไม่มีใครทำธุรกิจแบบจริงจัง มีเพียงคุณพ่อที่เป็นนักธุรกิจที่สร้างบริษัท ยิบอินซอย   ซึ่งตัวเองก็ไม่เคยถูกบังคับให้กลับมาทำงานที่บริษัท คุณพ่อให้สิทธิ์เราเลือกเส้นทางของตัวเองอย่างเต็มที่

เปิดใจซีอีโอหญิง ผู้ขับเคลื่อน”ยิบอินซอย”ก้าวข้ามสู่ธุรกิจร้อยปี

ในช่วงที่เรียนจบใหม่ๆ  ไปสมัครงานบริษัทเรียลเอสเตท เพราะเรียนมาทางนี้   แต่คุณพ่อชวนให้มาฝึกงานที่บริษัทเพื่อเรียนรู้ว่าบริษัททำอะไรบ้าง ซึ่งตอนนั้นก็ยังมองว่าตัวเองเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านสถาปัตย์ ไม่ใช่นักธุรกิจ แต่หลังจากที่ได้ทดลองทำงานและเรียนรู้ภายในบริษัท เริ่มมองเห็นภาพรวมของธุรกิจว่าไม่ใช่แค่การแสวงหากำไร แต่มันคือการแลกเปลี่ยนคุณค่าระหว่างบริษัทกับลูกค้า รวมถึงการสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคม

นางมรกต เล่าต่อไปว่า เริ่มเข้ามาทำงานในยิบอินซอย ตั้งแต่ปี 2534  ในฐานะกรรมการบริษัท  ถูกส่งไปฝึกงานในแผนกต่างๆ   และเป็นผู้ช่วยเอ็มดี (Managing Director) บริษัท ยิบอินซอยและแย๊คส์ จำกัด  ซึ่งเป็นเทรดดิ้ง คอมพานี    ได้เรียนรู้ทุกด้านของธุรกิจในบริษัท ทั้งเรื่องระบบเครือข่าย การวางระบบเน็ตเวิร์ก ไปจนถึงการคุมโครงการก่อสร้าง เช่น การวางระบบเครือข่ายให้กับโรงแรมเพนนินซูล่า และการวางเครือข่ายในห้างเซ็นทรัล พระราม 3 หลังจากนั้น ได้รับมอบหมายให้ดูแลสายธุรกิจต่างๆ อย่างครบถ้วน

จนในที่สุดเอ็มดี  ยิบอินซอยและแย๊คส์ เกษียณอายุ  ระหว่างที่สรรหากรรมการผู้จัดการใหม่ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้รับจากการเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ   จึงอาสาดูแลธุรกิจให้ก่อน แต่ที่สุดคุณพ่อก็หากรรมการผู้จัดการ ยิบอินซอยและแย๊คส์ ไม่ได้สักที  จึงนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ยิบอินซอยและแย๊คส์ต่อ  จนถึงปี 2557 เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด  จนถึงวันนี้ก็ 10 ปีแล้ว

เปิดใจซีอีโอหญิง ผู้ขับเคลื่อน”ยิบอินซอย”ก้าวข้ามสู่ธุรกิจร้อยปี

โดยวันนี้ธุรกิจหลักของ ยิบอินซอย ปัจจุบันแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ประกอบด้วย:

  1. กลุ่มเกษตรและเทคโนโลยีทางการเกษตร – ธุรกิจเกษตรเป็นธุรกิจที่ครอบครัวทำมาตั้งแต่แรก เช่น การนำเข้าปุ๋ยเคมีและอุปกรณ์ทางการเกษตรต่างๆ และในปัจจุบันก็ได้พัฒนามาสู่การใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเกษตรกร
  2. กลุ่มไอทีและอินฟราสตรักเจอร์ – นี่เป็นหนึ่งในธุรกิจที่สร้างรายได้หลักของ ยิบอินซอย โดยมีการให้บริการด้านไอทีครบวงจร การปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้านดิจิทัลเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของตลาดในปัจจุบัน
  3. กลุ่มพลังงาน – ยิบอินซอย ได้ขยายธุรกิจมาสู่กลุ่มไฟฟ้ากำลังและพลังงานสะอาด เน้นการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนให้สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่มุ่งไปสู่การรักษาสิ่งแวดล้อม
  4. แพลตฟอร์มและบริการ – หนึ่งในธุรกิจที่ใหม่และมาแรงคือ แพลตฟอร์ม as a Service เช่น การเข้าซื้อและดำเนินการแพลตฟอร์มโรบินฮู้ด ซึ่งถือเป็นการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้กับบริษัท
  5. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสังคม – ยิบอินซอย ไม่เพียงแต่ทำธุรกิจเพื่อผลกำไร แต่ยังมุ่งเน้นการทำวิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งเน้นการสร้างคุณค่าและผลประโยชน์ให้กับชุมชน

ในฐานะผู้บริหารเราเน้นการสร้างมูลค่าในธุรกิจและการตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง โดยไม่ได้มองธุรกิจแค่ในแง่ของตัวเลขกำไรเท่านั้น แต่ยังมองว่าเราสามารถทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้บ้าง

ต่อคำถามที่ว่าผู้หญิงมีข้อดีและข้อจำกัดอะไรบ้าง? นั้นนางมรกต  เล่าว่าผู้หญิงมักจะมีความละเอียดอ่อนและความรู้สึกที่คำนึงถึงผู้อื่น ทำให้เราสามารถประสานงานกับทีมและคู่ค้าได้ดีขึ้น เราจะคำนึงถึงผลกระทบต่างๆ และพยายามให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุด ข้อดีคือทำให้ทีมงานรู้สึกถึงความร่วมมือและการสนับสนุน

การที่ผู้หญิงยังสามารถปฎิเสธ ไม่ต้องดื่มเหล้ากับลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์สามารถถือเป็นข้อดีในการสร้างความแตกต่างและความมั่นใจให้กับตัวเอง ผู้หญิงสามารถใช้ข้ออ้างที่เป็นประโยชน์ เช่น ศีล 5 หรือการรักษาสุขภาพ  

แต่ก็อาจมีข้อจำกัดตรงที่บางครั้งการตัดสินใจอาจจะไม่เฉียบคมเท่าผู้ชาย เพราะเรามักจะคิดถึงหลายๆ มุมก่อนที่จะฟันธง

นางมรกต  เล่าถึงการเผชิญกับวิกฤติธุรกิจ  และผ่านพ้นมาจากวิกฤติต่างๆมาได้   โดย”ยิบอินซอย” ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้ง เช่น วิกฤติค่าเงินบาทในปี 2540 ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าวัสดุก่อสร้างที่มีต้นทุนสูงขึ้นมาก รวมถึงการเจอปัญหาจากวิกฤติทางเศรษฐกิจจากจีนหลังโอลิมปิก  ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้าที่ผันผวนขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงที่เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ โชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากคู่ค้าและธนาคารที่เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้ เช่น คู่ค้าจากเยอรมนีที่เราเคยสั่งปุ๋ยเข้ามาขาย ในช่วงที่เกิดวิกฤตและค่าเงินเปลี่ยนแปลงจนไม่สามารถชำระเงินได้ทันเวลา คู่ค้าก็เข้าใจสถานการณ์และอนุญาตให้เลื่อนการชำระเงินออกไป 6 เดือน นอกจากนี้ ธนาคารก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการให้คำปรึกษาและการจัดการปัญหาเพื่อให้ธุรกิจของเราเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจโดยยึดหลักความซื่อสัตย์และการสร้างความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญ

สำหรับหลักปรัชญาในการบริหารธุรกิจนั้นเชื่อว่าการทำธุรกิจคือการเกื้อกูลกัน เราไม่ได้มุ่งแค่การหากำไรสูงสุด แต่เป็นการสร้างคุณค่าร่วมกัน ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราควรได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ลูกค้า หรือพนักงาน เรามองว่าธุรกิจของเราต้องทำอะไรที่สร้างคุณค่าและมีความหมายให้กับสังคม นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน เพราะธุรกิจมีขึ้นและลง สิ่งสำคัญคือการตั้งมั่นในหลักการที่เรายึดถือ

นางมรกต ยังได้ให้นิยามตัวเองว่าเป็นคนติดดิน ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมองว่าทุกอย่างในโลกนี้มีการเกิดขึ้นและดับไป เราไม่ควรยึดติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว แต่ควรทำให้ดีที่สุดในช่วงเวลาที่มีอยู่ การเป็นผู้หญิงในการบริหารธุรกิจอาจจะทำให้เราคำนึงถึงความรู้สึกและความต้องการของคนรอบข้างมากขึ้น ซึ่งคิดว่ามันเป็นข้อดี เพราะเมื่อเราเปิดรับความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เราจะได้รับความไว้วางใจและความร่วมมือที่ดีจากทีมงานและคู่ค้า