นายสมยศ เชาวลิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวบนเวทีสัมมนา อนาคตประเทศไทย : SME จะไปทางไหน? จัดโดยฐานเศรษฐกิจ และสื่อเครือเนชั่น ภายใต้หัวข้อ “เอสเอ็มอี ยุคใหม่ .. เดินอย่างไร ให้ยั่งยืน” ว่าธุรกิจเอสเอ็มอี หากตัองการประสบความสำเร็จ จะต้องปรับตัวเร็ว พัฒนาตัวเอง เปิดรับสิ่งใหม่ ศึกษาและปรับตัวให้เร็ว
โดย เจ.ไอ.บี.ประสบความสำเร็จในธุรกิจเชนสโตร์ไอที ส่วนหนึ่งสำคัญ ระบบหลังบ้านแข็งแรง มีซีเรียลนัมเบอร์ ช่วยในการจัดการบริหาร
นอกจากนี้ยังมุ่งการให้บริการเซอร์วิส โดยการสินค้าจำเป็นต้องการการให้บริการหลังการขายกับลูกค้า
ขณะเดียวกันในช่วงโควิดที่ผ่านมา เจ.ไอ.บี. มุ่งมาใหัความสำคัญช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยปีที่แล้วเจไอบีมีรายได้ออนไลน์ 2,000 กว่าล้านบาท โดย เจ.ไอ.บี. จะมุ่งการพัฒนา และสร้างยอดขายออนไลน์ต่อเนื่อง เนื่องจากช่องทางออนไลน์ไม่มีค่าเช่า ห้างเพดานค่าเช่าทุกปี เช่นเดียวกับช่องทางอีมาร์เก็ตเพลส ซึ่งปัจจุบันเหลือผู้ให้บริการ 2 ราย คือช้อปปี้กับลาซาด้า ซึ่งกำลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าเอสเอ็มอี จำเป็นต้องมีช่องทางออนไลน์ หรือเว็บไซต์ตัวเอง และพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
โดยที่ผ่านมา เจไอบี พัฒนาบริการออนไลน์ โดยการส่งสินค้าภายใน 3 ชั่วโมง 24 ชั่วโมง หรือถ่ายวิดีโอตั้งแต่การแพ็คสินค้าลูกค้าเห็นสินค้าก่อนสินค้าไปถึงมือ
นายสมยศ กล่าวต่อไปอีกว่า ในช่วงโควิดที่ผ่านมา เจ.ไอ.บี.จำเป็นต้องปิดสาขาในห้างไป 130 สาขา จากทั้งหมด 150 สาขา ซึ่งเราใช้วิธีการเปิดสาขานอกห้าง 30 สาขาภายใน 3 วัน มีการตั้งทึมเทเลเซลล์ ขึ้นมารองรับการสั่งสินค้าทางโทรศัพท์กับลูกค้า รวมถึงนำระบบหุ่นยนต์มาใช้บริหารจัดการคลังสินค้า ทำให้ช่วยลดการผิดพลาด ส่งสินค้าได้รวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติมาได้ และเติบโตขึ้น
โดยปี 64 มีรายได้ 11,281 ล้านบาท ปีที่แล้วรายได้ 9, 502 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากโควิด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปีนี้ยอดรายได้จะกลับมาสู่ระดับหมื่นล้าน