ด่วน ศาลปกครองสั่งนัดไต่สวนฉุกเฉิน ปมประมูลวงโคจรดาวเทียม วันนี้

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์หรือกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้เปิดประมูลวงโคจรดาวเทียมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2566 ปรากฏว่ามีผู้ชนะประมูลวงโคจรดาวเทียมจำนวน 2 ราย คือ  โดยบริษัท สเปซ เทค อินโนเวชั่น จำกัด ประมูลได้ 2 ชุดแพ็คเกจ คือ ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ชนะประมูลในราคา  380,017,850.00 ล้านบาท จากราคาเริ่มต้นการประมูล 360 ล้านบาทเศษ

ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และวงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ชนะประมูลในราคา  417,408,600.00 ล้านบาทจากราคาเริ่มต้นการประมูล 397 ล้านบาทเศษ (เป็นการแก้ปัญหา Thaicom 5) "NT" คว้าชุดที่ 4 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ประมูลได้ชุดแพ็คเก็จที่ 4 วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) ชนะประมูลในราคา 9,076,200.00 ล้านบาท จากราคาเริ่มต้นการประมูล 8 ล้านบาทเศษ

โดยวันนี้ (19 มกราคม 2566) เวลา 13.00 น. ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งนัดคู่กรณีมาไต่สวนคำขอฯดังกล่าว ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ ตามข้อ 71 แห่งระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณษคดีปกครอง 2543

สำหรับเรื่องนี้ช่วงเช้าของวันที่ 18 ม.ค.66 ที่ผ่านมา นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้นำความไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ฟ้องคณะกรรมการ กสทช. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3

ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบในการปล่อยให้มีการประมูลวงโคจรดาวเทียมซึ่งเป็นสมบัติของชาติไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีคำขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการรับรองและเซ็นต์สัญญากับผู้ชนะการประมูลดังกล่าว 

กระทั่ง ช่วงเย็นของวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ตุลาการศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งรับคำฟ้องของสมาคมฯไว้พิจารณาไต่สวนและพิพากษากรณีดังกล่าว 

ทั้งยังได้มีคำสั่งด่วนเรียก บริษัท สเปซ เทค อินโนเวชั่น จำกัด และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ผู้ชนะการประมูลเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดในคดีนี้ด้วยเพราะหากศาลมีคำพิพากษาหรือเพิกถอนคำสั่งตามคำขอท้ายคำฟ้อง บริษัททั้งสองอาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีได้ และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

อย่างไรก็ดี "ฐานเศรษฐกิจ" จะติดตามความคืบหน้ามารายงานอีกครั้ง