นายณัฐฐินันท์ สุขสมพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอ็นที ไอบัซซ์ จำกัด (NT iBuzz) ผู้ให้บริการดิจิทัลเซอร์วิส ที่มีบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ เอ็นที (NT) ถือหุ้น 49% เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าภายหลังจากปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทแคทบัซซ์ ทีวี จำกัด CAT BUZZ TV ธุรกิจด้านการทำรายการโทรทัศน์บนรถประจำทาง และเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท เอ็นที ไอบัซซ์ จำกัด เพื่อให้บริการดิจิทัลเซอร์วิส โดยมีภารกิจหลัก คือให้บริการการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล และการพัฒนาดิจิทัล คอนเท้นต์ให้กับกล่อง Set Top Box ซินิม่า ไอพีทีวี ของเอ็นที
นอกจากนี้ยังได้นำประสบการณ์จากการร่วมกับกูเกิล ในการให้บริการฟรีไวไฟ กูเกิล สเตชัน ที่ปัจจุบันยกเลิกการให้บริการในไทยไปแล้ว มาปรับปรุงพัฒนาบริการฟรีไวไฟ ที่เหมาะสมกับการใช้งานของคนไทย ภายใต้ชื่อ Buzz Privilege ซึ่งเป็นมีเดียแพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ เป็นบริการที่มอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ที่เข้ามาใช้งานทุกคนโดยการใช้งานผ่านบริการไวไฟสาธารณะคุณภาพสูงฟรี ด้วยความเร็วในการใช้งาน 30/30 Mbps แบบคงที่ รองรับการดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเตอร์เน็ตและเล่นเกมส์ ได้อย่างราบรื่น
โดยขณะนี้มีจุดให้บริการฟรีไวไฟ Buzz Privilege ทั่วประเทศอยู่ 34,700 จุด โดยในจังหวัดภูเก็ตมีอยู่ประมาณ 1,000 จุด และร่วมโครงการ SAMUI Plus ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ในการทดสอบการให้บริการฟรีไวไฟกับนักท่องเที่ยว ล่าสุดได้ลงนามกับนครขอนแก่น ให้บริการฟรีไวไฟใน 95 ชุมชน รวมถึงมีจุดให้บริการในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการลงนามให้บริการในจังหวัดอยุธยา นครรังสิต และเชียงใหม่ และการเจรจากับกรมท่าอากาศยานในการให้บริการฟรีไวไฟ Buzz Privilege ในสนามบินในประเทศ 20 แห่ง โดยเป้าหมายของบริษัทคือต้องการขยายจุดให้บริการฟรีไวไฟ Buzz Privilege ให้ครอบคลุม 300,000 จุดทั่วประเทศ
ด้านนายอภิชัจ อินสว่าง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจองค์กรบริษัทเอ็นที ไอบัซซ์ จำกัด (NT iBuzz) กล่าวเสริมว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดบริษัทได้ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม Buzz Privilege ไปประมาณ 50-60 ล้านบาท โดยขณะนี้แพลตฟอร์มดังกล่าวมีความพร้อมการให้บริการราว 95% โดยคาดว่าในเดือนหน้าจะเริ่มการทำตลาดอย่างจริงจัง
โดยการทำตลาดฟรีไวไฟ “Buzz Privilege” ภายใต้แนวคิด “Buzz Privilege WiFi ยิ่งใช้ยิ่งฟรี’ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเข้ามาใช้บริการฟรีไวไฟ และได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากผู้สนับสนุนผ่านฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ที่มีความหลากหลาย อาทิ ตลาดซื้อขาย ท่องเที่ยว การศึกษา บันเทิง และเกมส์
ทั้งนี้บริการ Buzz Privilege ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายด้วยการลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว ใช้งานได้ตลอด (Auto Login) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จากโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตทุกเครือข่าย รองรับการใช้งานได้ 3 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ และจีน โดยขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนใช้บริการแล้ว 1.3-1.5 ล้านคน ซึ่งเป้าหมายของบริษัทต้องการขยายผู้ใช้บริการให้ครอบคลุม 15-16 ล้านคน โดยจะมีการขยายการเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการโครงข่าย นอกเหนือจากเอ็นที และจุดให้บริการ รวมถึงการขยายพันธมิตรด้านคอนเท้นต์ สิทธิประโยชน์ เพื่อดึงคนเข้ามาใช้บริการ สำหรับรายได้หลักของบริการ Buzz Privilege นั้นจะมาจากโฆษณาเป็นหลัก โดยการใช้งานฟรีไวไฟ Buzz Privilege ทุก 30 นาที จะมีโฆษณาคั่น โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ราว 50-80 ล้านบาท