นายอิงมาร์ หวาง ผู้อำนวยการ บริษัท หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า ภายหลังการนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐ ปัญหาการแบนหัวเว่ยน่าจะได้รับการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์การแบนหัวเว่ยของสหรัฐ หัวเว่ยก็ตามสามารถอยู่รอดมาได้ภายใต้แรงกดดันทางธุรกิจ
โดยปีนี้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 ของตลาดสมาร์ทโฟน จากเดิมปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่งตลาด 23% ทั้งนี้เชื่อว่าปี 64 หัวเว่ยจะกลับมามีตัวเลขการเติบโตเป็นเลข 2 หลักอีกครั้ง โดยจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 50 รายการ มีทั้งสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต อุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ สมาร์ท ทีวี อุปกรณ์ IoT ซึ่งแนวโน้มของตลาดปี 64 นั้นมองว่าสมาร์ทโฟน และสมาร์ทดีไวซ์ ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ซึ่งโปรดักส์ของหัวเว่ยยังตอบโจทย์ความต้องการ หรือตอบโจทย์การใช้งาน ของผู้บริโภค
หัวเว่ยยังคงมุ่งหน้าเปิดตัวสมาร์ทโฟนสู่ตลาดต่อเนื่อง และขยายการทำตลาดไปยังอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ โดยเรายังเป็นผู้นำในตลาดอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ Wearable Device ที่มีส่วนแบ่งตลาด 60% ส่วนพีซี เมทบุ๊ก ได้รับการตอบรับจากตลาดดี เช่นเดียวกับแท็บเล็ต
ส่วน Huawei Mobile Services หรือ HMS หัวเว่ยก็เดินหน้าพัฒนาต่อเนื่อง โดยกูเกิล ใช้เวลาพัฒนาแอพพลิเคชัน และเซอร์วิส มาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี แต่หัวเว่ยเพิ่งพัฒนา Huawei Mobile Services มาเป็นเวลาปีครึ่ง ซึ่ง 80% ของผู้ใช้พึงพอใจใน Huawei Mobile Services ซึ่งหัวเว่ยยังเดินหน้าพัฒนาเซอร์วิสใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้จริง
นายอิงมาร์ หวาง ยังได้แนะนำนายเกวิน เฉิง ที่เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการ บริษัท หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ต่อจากนายอิงมาร์ หวาง
โดยนายเกวิน เฉิง ผู้อำนวยการ บริษัท หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ปคนใหม่ กล่าวว่าช่องทางออนไลน์ในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งหัวเว่ยจะมุ่งการจับมือกับคู่ค้าเพื่อพัฒนาช่องทางออนไลน์ ขณะเดียวกันหัวเว่ย มีออนไลน์สโตร์ของตัวเอง ซึ่งยังเติบโตได้ดี โดยปีหน้าจะมุ่งขยายการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น