ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) สะท้อนว่า จากที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่ ซึ่งล่าช้ามาร่วม 2 ปี ยังไม่ประกาศใช้
โดยกำหนดเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 51 % ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2580 เพื่อสนับสนุนประเทศมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608 โดยจะมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ภาคผลิตไฟฟ้าลดลงมาอยู่ที่ 61.80 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2580 จากปี 2568 ที่คาดว่าจะปล่อยราว ที่ 86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ทั้งนี้ จากร่างแผนพีดีพี(PDP 2024) ซึ่งเป็นแผนแม่บทพลังงานของประเทศ ที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว เห็นว่าช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากไม่สามารถช่วยผลักดันลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 ได้ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดยังมีสัดส่วนที่ตํ่า และยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าสะอาดของนักลงทุนได้เพียงพอ
จากผลสำรวจ 120 ประเทศ ของ World Economic Forum 2024 คะแนนดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทย มีคะแนนเฉลี่ยที่ตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยโลกและมีอันดับที่ตํ่ากว่าประเทศในภูมิภาคนี้อย่างเวียดนาม อยู่อันดับ 32 มาเลเชียอยู่อันดับ 40 และอินโดนีเซีย อยู่อันดับ 54 โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 60 ซึ่งมีสาเหตุจากการมีสัดส่วนพลังงานสะอาดที่ตํ่า
สะท้อนให้เห็นถึงประเทศไทยมีการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ล่าช้ากว่าทุกประเทศในภูมิภาค และไร้เป้าหมายพลังงานสะอาดปี 2573 ในขณะที่เวียดนามเร่งดึงดูดการลงทุนด้วยเป้าหมายการมีการผลิตพลังงานสะอาดในสัดส่วน 47% อินโดนีเซีย 44% มาเลเซีย 24% ส่วนของไทยไปกำหนดในสัดส่วนที่ 51% ในปี 2580 จึงเป็นเครื่องสะท้อนนำมาซึ่งการกำหนดเป้าหมาย Net Zero ของไทยช้ากว่าเพื่อนบ้านในปี 2608 ขณะที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม กำหนดในปี 2593
ดร. อารีพร กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ไทยยังผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้ในสัดส่วนที่ตํ่า หรือปัจจุบันมีราวกว่า 10 % ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เนื่องจากไทยยังไม่มีการเปิดตลาดเสรีไฟฟ้าสะอาด ผ่านบุคคลที่ 3 หรือ Third Party Access เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเร่งการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ หากภาครัฐยังไม่มีการเปิดไฟฟ้าเสรี ภาคการผลิตที่ต้องการพลังงานสะอาด จำเป็นต้องพึ่งพาไฟฟ้าสีเขียว( Utility Green Tarifs : UGT) ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าค่าไฟฟ้าปกติ หากไม่มีการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าเพื่อเร่งผลิตพลังงานสะอาด ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกการลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไทยจะเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนจากต่างประเทศที่อาจจะมากถึง 45% โดยเฉพาะจากประเทศที่เป็นผู้นำการลงทุน เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 1.95 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2018-2023 นอกจากนั้น อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น Bio Circular Green Economy และ Next-Gen Automotive มีความต้องการพลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจเช่นกัน
แต่หากเราไม่สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อีกทั้ง การสูญเสียตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลก บริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทยมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง หากยังไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดได้เพียงพอ บริษัทเหล่านี้อาจย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศที่มีความพร้อมมากกว่า เช่น เวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย ซึ่งจะทำให้ไทยเสียบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก
รวมไปถึงการจ้างงานลดลง ที่เป็นผลจากการพัฒนาธุรกิจสีเขียวในประเทศไทยยังล่าช้า แรงงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเขียวเติบโตเพียง 1% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมหรือ “ธุรกิจสีนํ้าตาล” ค่อย ๆ หดตัว การเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้านี้อาจทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งงานกว่า 11 ล้านตำแหน่งในอนาคต และหากประเทศยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลจะยังคงสูงต่อไป ไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2608
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของ Data Center คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจทำให้พลังงานสะอาดไม่เพียงพอ และก่อให้เกิดการใช้พลังงานที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้น การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีของประเทศไทย จึงควรมีเป้าหมายในการเปิดเสรีที่ชัดเจน โดยช่วงแรก (2026-20230) ควรมุ่งเน้นดำนินการกับ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่และธุรกิจที่ต้องการพลังงานสะอาด เช่น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ผ่านทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ระหว่างผู้ผลิตพลังงานสะอาดและผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งคิดเป็น 41% ของจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดในตลาดไฟฟ้าเสรี
ลำดับต่อมา ระยะที่สอง (ก่อนปี 2037) ควรเพิ่มการ ถึงตลาดเสรีสำหรับกลุ่มผู้ใช้ในโรงงานและอาคารควบคุมขนาดกลางและขนาดเล็กรวมไปถึงผู้ประกอบการในหกิจขนาดกลาง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 45% ก่อนที่ใน ระยะที่สาม (ก่อนปี 2050) ควรเพิ่มกลุ่มกิจกรรมวิสาหกิจดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งคิดเป็น 65 และหลังจากนั้นใน ระยะที่สี่ จึงครอบคลุมถึงภาคครัวเรือนทั้งหมดำให้เกิดตลาดไฟฟ้าเสรีในประเทศไทยครบทั้ง 100%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง