โดนัลด์ ทรัมป์ หวนคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง พร้อมเปิดฉากด้วยการประกาศนโยบายชุดแรกที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางด้านสภาพภูมิอากาศจากยุคของ โจ ไบเดน อย่างสิ้นเชิง ในคำสั่งบริหารหลายฉบับ ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ ถอนตัวสหรัฐฯ ออกจากความตกลงปารีสเป็นครั้งที่สอง และแสดงเจตนารมณ์สนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในประเทศอย่างเต็มกำลัง
การตัดสินใจของทรัมป์ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพรรคเดโมแครต และนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ ซึ่งเตือนถึงผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นต่อทั้งสหรัฐฯ และทั่วโลก ทรัมป์ ซึ่งเคยปฏิเสธความสำคัญของปัญหา “โลกร้อน” มาโดยตลอด และเรียกประเด็นนี้ว่า “การหลอกลวง” หลายครั้ง พร้อมยืนยันแผนการยกเลิกกฎข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าฝ่ายบริหารของเขาจะมุ่งลดการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ผ่อนปรนข้อจำกัดโรงไฟฟ้า และสนับสนุนการพัฒนาน้ำมันและก๊าซในประเทศอย่างจริงจัง
การตัดสินใจของทรัมป์ที่จะถอนสหรัฐฯ ออกจากความตกลงปารีสเป็นครั้งที่สอง ได้แยกประเทศออกจากการต่อสู้ระดับโลกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะนี้สหรัฐฯ เข้าร่วมกับอิหร่าน เยเมน และลิเบีย ในฐานะประเทศเดียวที่อยู่นอกความตกลง ซึ่งมีเป้าหมายที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้สูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เกณฑ์ดังกล่าวซึ่งกำหนดไว้ในความตกลงปารีส ถือเป็นจุดวิกฤตที่โลกจะเผชิญกับผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
การถอนตัวของสหรัฐฯ จากความตกลงปารีสเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่อุณหภูมิโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่น่ากังวล โดยปี 2567 ได้รับการบันทึกว่าเป็นปีแรกที่อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลว่าการตัดสินใจของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจบั่นทอนความพยายามในการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส และอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ทบทวนหรือถอนตัวจากพันธสัญญาด้านสภาพอากาศของตนเอง
ฝ่ายบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะลดการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงการสำคัญในประเทศกำลังพัฒนา ระหว่างวาระแรก ทรัมป์ได้ระงับการจ่ายเงินสนับสนุนกองทุน Green Climate Fund ของสหประชาชาติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยประเทศกำลังพัฒนาปรับตัวสู่พลังงานสะอาดและรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งของทรัมป์อาจนำไปสู่การตัดสินใจในลักษณะเดียวกัน
ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังค้างชำระเงินกองทุนดังกล่าวเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ การถอนการสนับสนุนของทรัมป์ไม่เพียงกระทบต่อ Green Climate Fund แต่ยังส่งผลต่อการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการด้านสภาพภูมิอากาศระดับนานาชาติอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความพยายามระดับโลกในการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
แม้รัฐบาลกลางจะถอนตัวจากความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ยังมีความหวังว่าความก้าวหน้าจะดำเนินต่อไปในระดับรัฐและท้องถิ่น หลายรัฐและเมืองทั่วสหรัฐฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทะเยอทะยาน พร้อมเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ความพยายามเหล่านี้ ผสานกับการเติบโตอย่างมั่นคงของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และความตื่นตัวที่เพิ่มขึ้นของประชาชนต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจช่วยลดผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ และรักษาความพยายามในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศในระดับประเทศได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความพยายามในระดับรัฐและท้องถิ่นเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับสองของโลก การถอนตัวจากความตกลงปารีสและการลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลกระทบเชิงลบในระดับโลก หากขาดการนำที่เข้มแข็งจากรัฐบาลกลางและความร่วมมือระหว่างประเทศ การต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะยิ่งท้าทายมากขึ้น
นอกจากนี้ การโจมตีนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและการขู่ลดงบประมาณสนับสนุนการวิจัยยังสร้างความกังวลต่ออนาคตของวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศในสหรัฐฯ หน่วยงานสำคัญ เช่น สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) และสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) อาจตกเป็นเป้าหมายของการลดบทบาท ทั้งที่มีหน้าที่สำคัญในการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนนโยบาย
โลกกำลังจับตามองการดำเนินงานในวาระที่สองของทรัมป์อย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การต่อสู้เพื่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศกำลังยิ่งซับซ้อน และอนาคตของโลกยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง