"กกพ."ตอกกลับเอกชนลด"ค่าไฟ"เหลือ 3 บาทเป็นไปได้ยาก

16 ม.ค. 2567 | 14:54 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ม.ค. 2567 | 14:54 น.

"กกพ."ตอกกลับเอกชนลด"ค่าไฟ"เหลือ 3 บาทเป็นไปได้ยาก หลังยื่นข้อเสนอต้องการให้ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับ 3.60 บาทต่อหน่วย และในระยะยาวไม่เกิน 3 บาทต่อหน่วย ระบุตามโครงสร้างเดิมต้นทุนค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 4.30 บาท

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงกรณีข้อเสนอของเอกชนที่ต้องการให้ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับ 3.60 บาทต่อหน่วย และในระยะยาวไม่เกิน 3 บาทต่อหน่วยว่า หากมองการดำเนินตามโครงสร้างเดิมต้นทุนค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 4.30 บาท 

ทั้งนี้ เมื่อปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติจึงขยับมาที่ระดับ 4.20 บาท อีกทั้งงวดปัจจุบันมีเงิน Shortfall จำนวน 4,300 ล้านบาทเข้ามาช่วย จึงทำให้ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับ 4.18 บาท ดังนั้น งวดที่ 2 จะไม่มีเงินดังกล่าวตรงนี้ และจะขึ้นอยู่กับว่าก๊าซในอ่าวไทยจะทำได้เท่าไหร่ รวมถึงก๊าซฯ จากพม่าจะหายหรือไม่ ดังนั้น หากยืนเงื่อนไขตามงวดปัจจุบันต้นทุนจะอยู่ในระดับ 4.20 บาทต่อหน่วย

"ราคา 3 บาทกว่าตามข้อเสนอของเอกชนคงยาก เพราะรื้อจนไม่รู้จะรื้ออย่างไรแล้ว คงต้องมีผู้ที่ขาดทุน โดยนโยบายคือการให้อยู่ร่วมกัน หากเทียบการใช้ไฟของคนกทม. กับต่างจังหวัด ซึ่งคนต่างจังหวัดมีตันทุนในการเดินสายไฟ จะยอมแยกประเภทหรือไม่ เพื่อให้คนกทม.จ่ายถูกกว่า หากนโยบายรัฐจะดึงความเท่าเทียมให้ยังอยู่ เป็นต้น ซึ่งต้องเรียนว่าค่าไฟจะแพงหรือถูกแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ต้องดูทรัพยากรว่ามีหรือไม่ โดยเฉพาะเชื้อเพลิง ถือเป็นต้นทุนที่สูงกว่าการลงทุนโรงไฟฟ้าด้วยซ้ำ"

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนหากได้คืนมาได้ ก็จะทำให้ได้ 4.20 บาท งวดหน้าไม่มี Shortfall  หากก๊าซฯจากแหล่งเอราวัณมา พม่าไม่ลด LNG ราคาระดับปัจจุบัน 10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ก็พอจะดึงมาได้บ้าง แต่ต้องดูว่าจะได้จริงเท่าไหร่ จะคืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เท่าไหร่ 

"กกพ."ตอกกลับเอกชนลด"ค่าไฟ"เหลือ 3 บาทเป็นไปได้ยาก

ดังนั้น ต้องมาดูนโยบายและหารือตัวเลขค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟที (Ft) ว่าจะเป็นเท่าไหร่ และจะมีนโยบายใดออกมาสนับสนุน เพราะจากโครงสร้างดังกล่าว ต้นทุนอยู่ที่ระดับ 4.20 บาทแล้ว
 
ส่วนคำถามที่มองว่าช่วงนี้ราคานำเข้า LNG ถูกลง เหตุใดไม่รีบเก็บสต็อก ปัญหาคือ ประเทศไทยมีถังเก็บไม่เพียงพอ โดยปัจจุบันมีแค่ 4 ถัง ซึ่งช่วงที่ขาดก๊าซ 3 วัน หมดไป 1 ถัง โดยปีที่ผ่านมานำเข้าเฉพาะ LNG spot อย่างเดียวกว่า 90 ลำ โดยคาดว่าปี 2567 ตัวเลขจะใกล้เคียงกัน ซึ่งไม่รวมสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาวอีก 55 ล้านตัน

นายคมกฤช กล่าวถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้างวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 67 ด้วยว่า จากโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติปัจจุบันนี้ ถือว่าไม่ใช่อำนาจของสำนักงาน กกพ. เนื่องจากเป็นทรัพยากรณ์ที่ใช้อย่างแพร่หลายที่ไม่ใช่เฉพาะใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าอย่างเดียวแล้ว จึงเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) 
 

ดังนั้น มาตรการปรับราคาก๊าซธรรมชาติเข้าและออกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติเป็นราคา Pool Gas ซึ่งเป็นราคารวมก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย ยกเว้นก๊าซธรรมชาติที่นำไปใช้ในการผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติเท่ากับราคาก๊าซธรรมชาติอ่าวไทย (Gulf Gas) ทำให้ราคา Pool Gas ลดลงจาก 365 บาทต่อล้านบีทียูเหลือ 343 บาทต่อล้านบีทียู จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาล
 
"ครม.ให้อิงราคาโครงสร้างนี้ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องยอมรับว่าโครงสร้างราคาก๊าซฯ มีการคุยกันมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่เข้าครม. ดังนั้น การปรับราคาค่าไฟงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 67 ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยครั้งนี้ กระทรวงพลังงานมีความเป็นห่วงทั้งเรื่องราคา LNG spot และจะต้องดูว่าปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทยที่ปัจจุบันตัวเลขก็ยังไม่ชัดเจน จึงได้คำนวณปริมาณไว้ที่ 30% เพื่อไม่ให้กระทบ แล้วใช้วิธีคำนวนเชื้อเพลิงอื่น ๆ มาที่ 70%"

อย่างไรก็ดี ส่วนตัวมองว่าค่าไฟฟ้างวดปัจจุบัน ราคานำเข้า LNG ขณะนี้อยู่ในระดับ 10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู และมีแนวโน้มลดลง จะทำให้ต้นทุนอื่นต่ำกว่าที่ประมาณการ และกฟผ. ก็จะได้เงินคืนด้วย ดังนั้น หากยืนราคานี้ในระยะยาวจะทำให้กฟผ. ได้เงินคืนซึ่งอาจจะเอาไปหักกับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 66 ที่ยังไม่ได้เอาตัวเลขมากบวกลบ จึงทำให้หนี้คงค้างยังไม่ได้รับคืนอยู่ที่ 95,777 ล้านบาท

"ครม.ให้ไปศึกษาทั้งต้นทุน ปริมาณก๊าซฯ ว่าจะเป็นเท่าไหร่ และภาระที่ต้องคืนกฟผ.ด้วย จึงต้องหารือในภาคนโยบายกับกระทรวงพลังงานเพื่อให้ กฟผ. กระทบน้อยสุด ดังนั้น ตัวเลขภาระกฟผ. งวดก.ย.-ธ.ค. 2566 น่าจะออกช่วงเดือนมี.ค. นี้ หากดูเบื้องต้นน่าจะอยู่หลักหมื่นล้าน อาจจะส่งผลให้ภาระที่กฟผ. จะต้องรับสะสมในระดับ 1.1-1.2 แสนล้านบาท จากที่กฟผ. เคยรับภาระสูงสุดที่ 150,268 ล้านบาท ในงวดก.ย.-ธ.ค.2565"