"ลดค่าไฟเหลือ 3 บาท" เอกชนเชียร์สุดลิ่ม ชี้เป็นผลต่อเศรษฐกิจไทย

20 ก.ย. 2566 | 08:26 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2566 | 08:26 น.

"ลดค่าไฟเหลือ 3 บาท" เอกชนเชียร์สุดลิ่ม ชี้เป็นผลต่อเศรษฐกิจไทย หลังนายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายในระยะต่อไป ชี้สมเป็นนักธุรกิจสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ช่วยลดค่าครองชีพประชาชน

ลดค่าไฟเหลือ 3 บาทต่อหน่วย เป้าหมายต่อไปของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปักหมุดเอาไว้ หลังจากที่ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งอนุมัตเห็นชอบลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย จาก 4.10 บาท เมื่อครั้งการประชุม ครม. ก่อนหน้านี้ (13 ก.ย.66)

ต่อประเด็นดังกล่าวนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากดำเนินการลดค่าไฟเหลือ 3 บาทได้จริงจะยิ่งเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลลดค่าไฟจนเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วยล่าสุดนั้น ถือเป็นเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์สำหรับภาคเอกชนเพราะก่อนหน้านี้ทางภาคเอกชนเองเรียกร้องการปรับลดลงจากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศที่อัตรา 4.45 บาทต่อหน่วยให้เหลือ 4.25 บาทต่อหน่วย 

อย่างไรก็ดี คงต้องเรียนว่า นายเศรษฐาสมกับเป็นนักธุรกิจที่แก้ปัญหาอย่างตรงจุดเพราะการลดค่าไฟจะเป็นการลดค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนภาคธุรกิจให้ผู้ผลิตสินค้าที่จำหน่ายในประเทศแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้และการส่งออกจะเพิ่มขีดแข่งขัน 

นอกจากนี้ ที่สำคัญคือการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่ขณะนี้มีการย้ายฐานการผลิตซึ่งไทยเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่นักลงทุนสนใจอยู่ ส่วนขั้นตอน (Step) ต่อไปต้องการให้รัฐบาลปรับโครงสร้างพลังงานภาพรวมที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าของไทยมีความยั่งยืนไม่ใช่ต้องมาคอยแก้ไขปัญหาทีละจุดเช่นปัจจุบัน

ลดค่าไฟเหลือ 3 บาท เอกชนเชียร์สุดลิ่ม ชี้เป็นผลต่อเศรษฐกิจไทย

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า การที่ต้นทุนพลังงานทั้งดีเซล ค่าไฟ ปรับลดลง ในส่วนของราคาสินค้าที่จะลดลงนั้นต้องเข้าใจโครงสร้างต้นทุนการผลิตที่ต้องดูจากสต๊อกวัตถุดิบด้วย โดยสินค้าประเภทบริโภคที่เป็นอาหารสดซึ่งเป็นเรื่องปากท้องชาวบ้านโดยตรงที่ผ่านมาเมื่อต้นทุนเพิ่มได้มีการปรับขึ้น เช่น อาหารจากจานละ 50 บาทก็เป็นจานละ 60-70 บาท โดยอาหารเหล่านี้จะสต๊อกสินค้า 1-3 วัน สามารถลดราคาลงได้ภายใน 15 วันทันที 

แต่สินค้าที่เป็นอุตสาหกรรมจะต่างกันไป โดยหากเป็นการใช้วัตถุดิบในประเทศจะมีอัตราการสต๊อกวัตถุดิบเฉลี่ย 30-60 วัน กรณีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเฉลี่ยจะสต๊อกราว 90-100 วัน ดังนั้นการปรับราคาสินค้าจะเป็นไปตามรอบสต๊อกวัตถุดิบที่จะทยอยปรับลดลง

“สินค้าภาคอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นที่เกี่ยวข้องกับอุปโภคและบริโภค บางรายการก็เป็นสินค้าควบคุมอยู่แล้ว เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้องขออนุญาตปรับราคาขายปลีก ฯลฯ อีกทั้งสินค้าบางอย่างก็เป็นไปตามกลไกการแข่งขันในตลาดหากมีการแข่งขันสูงเขาก็ต้องสู้ด้วยราคาอยู่แล้ว ดังนั้นแต่ละอุตสาหกรรมก็ต่างกันไป”