ดร. อัลเลน เซแมน ประธานกลุ่มบริษัท Lan Kwai Fong (LKF) Group (กลุ่มลานไควฟง) ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง เผยว่า LKF ได้ร่วมลงทุนกับ Princess Villa Ltd. ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต และพันธมิตรชาวไทย ลงทุนสุดารา เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต
(Sudara Residences Phuket) ที่พักอาศัยระดับพรีเมียมแบบกรรมสิทธิ์ถือครองและเช่าระยะยาว มูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท
เฟสแรก จะลงทุนเรสซิเดนซ์แบบ 1-3 ห้องนอน รวม 220 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 52 - 144 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง กำหนดแล้วเสร็จในปี 2570 ลงทุน 4,500 ล้านบาท ส่วนเฟส 2 จะเริ่มลงทุนหลังเฟสแรกแล้วเสร็จ โดยจะเพิ่มเรสซิเดนซ์อีก 280 ยูนิต
สุดารา เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของโครงการรุ่นใหม่สไตล์รีสอร์ต ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อในภูมิภาคที่มองหาไลฟ์สไตล์คุณภาพควบคู่ไปกับโอกาสในการลงทุนปล่อยเช่า คาดการณ์ผลตอบแทน 10%
ภายใต้การบริหารงานบริการและบริการคอนเซียร์จ โดยทีมมืออาชีพจาก Andara Resort & Villas รีสอร์ตระดับอัลตร้าลักชัวรีในภูเก็ต เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนแบบ passive ซึ่งผู้ซื้อสามารถนำมาปล่อยเช่าระยะยาว (มากกว่า 30 วัน)
สุดารา เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต ในเฟสแรก จะมีพื้นที่ 22 ไร่ มี และตั้งอยู่ห่างจากหาดบางเทาเพียง 5 นาที ขายห้องพัก ราคาเริ่มต้น 10 – 27 ล้านบาท โดยโครงการประกอบด้วยเรสซิเดนซ์แบบ 1-3 ห้องนอน รวม 220 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 52 - 144 ตารางเมตร พร้อมตัวเลือกยูนิตที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว
จุดเด่นของโครงการ ได้แก่ คลับเฮาส์หลัก ‘The Pavilion’ ซึ่งครบครันด้วยสระว่ายน้ำกลางแจ้ง เลานจ์เปิดโล่งพร้อมคาบาน่า คิดส์คลับ ฟิตเนส คาเฟ่ Silk พื้นที่โยคะ และโคเวิร์กกิ้งสเปซ
ส่วนกลุ่มผู้ซื้อเรามองทั้งผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติในประเทศไทย (expat) เป็นผู้ซื้อที่สำคัญในโครงการ Sudara เนื่องจากโครงการอยู่ห่างจากหาดบางเทาเพียง 500 เมตรและใกล้กับแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และบีชคลับระดับโลก
รวมถึงผู้ซื้อชาวต่างชาติ ได้แก่ สิงคโปร์และฮ่องกง คิดเป็นมากกว่า 80% ของยอดขาย โดยมองหาผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงและในที่สุดก็นำไปสู่การเกษียณในภายหลัง
ตลาดไทยมีความสำคัญมากสำหรับ Sudara โดยผู้ซื้อชาวไทยมากจากนักลงทุนจากกรุงเทพฯ
ภูเก็ตกำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนชาวสิงคโปร์ โดยโครงการ Sudara Residences Phuket มียอดขายจากภูมิภาคกว่า 40% จากสิงคโปร์ สะท้อนเทรนด์ที่ขับเคลื่อนปัจจัยด้านความคุ้มค่าในการลงทุน และความสะดวกในการเดินทาง
ดร. อัลเลน เซแมน ประธานกลุ่มบริษัท LKF Group กล่าวว่า การลงทุนของเราที่ประเทศไทยเริ่มต้นจาก Andara และวันนี้ถือเป็นการเดินทางที่ครบวงจร จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สู่ธุรกิจการบริการ และกลับมาสู่ตลาดเรสซิเดนเชียลอีกครั้งกับโครงการ Sudara
เราเชื่อว่าแรงส่งจากการท่องเที่ยวไทยคือปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโต และเปิด โอกาสในการผสานระหว่างธุรกิจบริการ (Hospitality) และที่อยู่อาศัย (Residential) ได้อย่างลงตัว โดยกลุ่มผู้ซื้อจากภูมิภาคมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของเรา
นายบิล บาร์เน็ตต์ กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks กล่าวว่า แนวโน้มที่เห็นได้ชัดในขณะนี้คือ การท่องเที่ยวกำลังขับเคลื่อนตลาดเช่าระยะยาวในภูเก็ต ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่โมเดล Residential-led Hospitality อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีกลุ่มผู้ซื้อจากไทย สิงคโปร์ และฮ่องกงเป็นกำลังหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต
รายงานจาก C9 Hotelworks ระบุว่า ด้วยงบประมาณเท่ากับคอนโดแบบ 2 ห้องนอนในสิงคโปร์ นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของพูลวิลล่า 5 ห้องนอนในภูเก็ตได้
ขณะที่ราคารถยนต์หรูในไทยต่ำกว่าสิงคโปร์ประมาณ 60% และค่าเล่าเรียนในโรงเรียนนานาชาติในภูเก็ตก็เฉลี่ยถูกกว่าราว 42%
อีกทั้งสิงคโปร์ยังมีภาษีและอากรแสตมป์ในอัตราสูงสำหรับบ้านหลังที่สอง เมื่อรวมกับความสะดวกในการเดินทางด้วยเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์–ภูเก็ตกว่า 150 เที่ยวต่อสัปดาห์ (ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง)
จึงไม่น่าแปลกใจที่ภูเก็ตจะกลายเป็นทางเลือกที่ทั้งคุ้มค่าและมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุนหรือการอยู่อาศัยระยะยาวริมทะเลอันดามัน
“เราคาดว่าแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานทั้งในระดับโลกและภูมิภาคจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดอสังหาฯ เพื่อการ เพื่อการลงทุน โดยในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน การโยกย้ายการลงทุนมายังประเทศไทยในฐานะ ‘เซฟโซน’ กลายเป็นทางเลือกระยะยาวที่น่าสนใจ ผู้คนเริ่มมองหาผลตอบแทนที่มั่นคงและสม่ำเสมอจากการปล่อยเช่าระยะยาว” บาร์เน็ตต์ กล่าวเสริม