2 ประเด็นสะท้อนอสังหาฯ “สถานบันเทิงครบวงจร” โอกาสเศรษฐกิจ หรือความท้าทาย?

18 ม.ค. 2568 | 14:20 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ม.ค. 2568 | 14:59 น.

เปิด 2 ประเด็นสะท้อนภาคอสังหาฯ จาก "สุนทร สถาพร" หวั่นซ้ำปัญหาสังคม แนะให้เลือกทำเลรอบคอบ หลังรัฐบาลไฟเขียว เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์

เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งรวมถึงคาสิโน ภายใต้นโยบายที่วางไว้ตั้งแต่ปลายปี 2566

โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อแก้ปัญหาการพนันใต้ดิน และนำรายได้เข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกกฎหมาย พร้อมหวังส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มองว่านโยบายนี้มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

พนันบนดินซ้ำเติมปัญหาสังคม?

นายสุนทร สถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้รัฐบาลจะมุ่งหวังให้การพนันใต้ดินเข้าสู่ระบบที่รัฐสามารถควบคุมได้ แต่ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ประชากร 6.5% ยังอยู่ใต้เส้นความยากจน และอีก 6.6% อยู่ใกล้ขอบความยากจน (ข้อมูล สศช. 2565) หากประชาชนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงคาสิโนได้ง่าย อาจยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนมากขึ้น

เนื่องจากทัศนคติของคนโดยส่วนใหญ่มองการพนันเป็นการเสี่ยงโชค มีความเคร่งเครียด และตั้งความหวังในการพนันแต่ละครั้งไว้สูง ไม่เหมือนประเทศทางตะวันตก หรือประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีรายได้สูง มีทัศนคติเกี่ยวกับคาสิโนเป็นความบันเทิง ยินดีเสียเงินเพื่อซื้อความสุขความสำราญ

เกณท์แรกที่ประเทศจะมีคาสิโนได้ ประชาชนทั้งประเทศต้องมีรายได้พ้นเส้นความยากจน คือมีรายได้พอเพียงการใช้ชีวิตอยู่อาศัย และเหลือพอจะซื้อความสำราญด้วยการพนัน การที่รัฐจะมีรายได้จากคาสิโน ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป็นผู้มีรายได้น้อย และชนชั้นกลางที่เข้าคาสิโน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำเข้าไปอีก 

นายสุนทรยังแนะนำว่า มาตรการจำกัดผู้เข้าคาสิโน เช่น การเรียกเก็บค่าบัตร 5,000 บาทนั้น อาจไม่สามารถคัดกรองผู้ที่มีรายได้เหมาะสมได้จริง เพราะผู้ติดการพนันมักหาทางเข้าถึงเงินก้อนแรกได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

จึงเสนอให้คัดกรองด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ข้อมูลภาษีรายได้บุคคล หรือฐานภาษี เพื่อคัดกรองผู้ที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน อาจเป็นอีกแนวทาง แต่ก็ยังมีช่องว่างในกรณีของกลุ่มผู้ทำธุรกิจส่วนตัวที่อาจหลีกเลี่ยงการแสดงรายได้

หวั่นกระทบอสังหาฯ-ท่องเที่ยว

นายสุนทรยังชี้อีกหนึ่งประเด็นว่า แม้ว่าการพัฒนาเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเมือง เศรษฐกิจ และกระตุ้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทำให้มีการพัฒนาด้าน ศูนย์การค้า โรงแรม คอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยรอบๆ เพิ่มเติม เพื่อรองรับแหล่งงานตามที่รัฐบาลวางแผนไว้

อย่างไรก็ตาม พื้นที่เป้าหมายที่ถูกเปิดเผยมาส่วนใหญ่ เป็นพื้นที่ Prime Area ของประเทศ เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงอยู่แล้ว เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา ไม่จำเป็นต้องพึ่งการพัฒนารูปแบบนี้ เพราะมีมูลค่าเศรษฐกิจและศักยภาพการท่องเที่ยวสูงอยู่แล้ว การเพิ่มคาสิโนในพื้นที่ดังกล่าวอาจส่งผลให้รายได้กระจุกตัว และก่อปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ

2 ประเด็นสะท้อนอสังหาฯ “สถานบันเทิงครบวงจร” โอกาสเศรษฐกิจ หรือความท้าทาย?

นายสุนทรยังยกตัวอย่างว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการเลือกพื้นที่ที่ทุรกันดารหรือขาดการพัฒนามาก่อน เช่น ตัวอย่างในประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้พื้นที่ทะเลทราย หรืออาจลงทุนในแผ่นดินงอกใหม่ อาจสร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากกว่า ทั้งในด้านการกระจายรายได้ สร้างแหล่งงานใหม่ กระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาชุมชน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประชาชนในพื้นที่ด้วยว่ายินดีต้อนรับการลงทุนประเภทนี้หรือไม่ 

สำหรับกรณีที่รัฐบาลจะจัดตั้งกองทุนเยียวยาผลกระทบทางสังคมจากผู้ติดการพนัน นายสุนทรเปรียบเทียบกับปัญหาผลกระทบจากการบริโภคเหล้าและบุหรี่ว่า อาจไม่คุ้มค่ากับผลเสียทางสังคมและสุขภาพที่เกิดขึ้น

พร้อมdy[ตั้งคำถามว่า ทำไมจึงส่งเสริม ขณะที่ด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศยังไม่พร้อม แล้วค่อยเยียวยา การพัฒนานโยบายนี้ควรมุ่งเน้นเศรษฐกิจเป็นหลักหรือคำนึงถึงความพร้อมของประเทศในด้านเศรษฐกิจและสังคมก่อนเป็นสำคัญ