เทรนด์ ปี68 คนเลือกซื้อบ้าน เน้น เทคโนโลยี -สุขภาพ -รักษ์โลก ชี้มิกซ์ยูสมาแรง

08 ธ.ค. 2567 | 17:30 น.

เทอร์ร่า  ชี้เทรนด์ ปี68 คนเลือกซื้อที่อยู่อาศัย 3 ด้านคือบ้านที่มีเทคโนโลยี เช่น ระบบไฟตามช่วงเวลา ระบบดูแลสุขภาพ เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม กระจกอัจฉริยะปรับแสงรวมถึงบ้านรักษ์โลก ปี 68 มิกซ์ยูสมาแรง

 

บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด ได้จัดงานสัมมนา TERRAHiNT BRAND SERIES พร้อมทั้งเปิดเผยผลการวิจัย the most powerful brand in real estate 2024 and consumer inside : The season of luxury and decide for well-being ซึ่งมาจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,500 คน โดยส่วนใหญ่ 80% อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีก 20% อยู่ในต่างจังหวัด

ซื้อที่อยู่อาศัย

น ส.สุมิตรา วงศ์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เปิดเผยผลการวิจัยว่า จากแบบสอบถามพบว่าส่วนใหญ่ให้ความหมายของคำว่า Luxury ที่นอกเหนือจากความหรูหราความร่ำรวยสู่บริบทใหม่ที่บ่งบอกถึงคุณภาพความสมบูรณ์แบบความโดดเด่นและความพิถีพิถันความสะดวกสบายโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มลาตายและทัศนคติ 4 กลุ่ม คือ  
 

 

1.กลุ่ม High-End Image ให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์ การใช้ชีวิตที่หรูหรา 

2.กลุ่ม Connoisseur ให้ความสำคัญกับความพิเศษสมบูรณ์แบบที่บ่งบอกถึงความสำเร็จผ่านกลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ 3.กลุ่มควอลิตี้ Luxury ให้ความสำคัญกับความเรียบหรูเรียบง่ายและคุณภาพที่ยั่งยืนเน้นสินค้าคุณภาพสูง 4.กลุ่ม Chic innovator เน้นการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของตัวเอง ชอบสินค้าแบรนด์เนมหรูหรา สินค้าหายากและเทคโนโลยีใหม่

สำหรับแนวโน้มในการซื้อบ้านพบว่าจากผู้ตอบแบบ สอบถามทั้งหมดมี 36% ที่มีแผนจะซื้อบ้านภายใน 3 ปีซึ่งเป็นแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 66 ซึ่งมีผู้คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี 12% สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงและการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือเลื่อนการซื้อออกไปสอดคล้องกับ Consumer Confidence Index ที่พบว่าความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในปี 67 ลดลงซึ่งคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการซื้อสินค้ามูลค่าสูงอย่างเช่นอสังหาฯ รถยนต์
สุมิตรา วงศ์ภักดี
ในปีนี้ยังพบว่ากลุ่มเบบี้บูมมีแนวโน้มที่จะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปีเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะส่วนใหญ่กำลังมองหาบ้านใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของผู้สูงวัยโดยมีพื้นที่ระเบียงที่สามารถพักผ่อนภายใต้บรรยากาศที่สงบมีมุมส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติ สอดคล้องกับกลุ่มเจนเอ็กซ์ ที่มีสัญญาณความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกัน ยังต้องการพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมด้วย
 

สำหรับเทรนด์การพัฒนานวัตกรรมในปี 68 พบว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือบ้านที่มีเทคโนโลยี เช่น ระบบไฟตามช่วงเวลา ระบบดูแลสุขภาพ เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม กระจกอัจฉริยะปรับแสงรวมถึงบ้านรักษ์โลก ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 59% ต้องการที่จะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 5 ปีพบว่ามีพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปโดยหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราวของราคาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือการให้บริการหลังการขาย ระบบรักษาความปลอดภัย สังคมและสภาพแวดล้อมในโครงการ

ทำเลคอนโดน่าจับตา

เมื่อจำแนกจากจำนวนดังกล่าวพบว่า มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว 86% รองลงมาคือคอนโด 44% และทาวน์โฮม 24% โดยกลุ่มราคาจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ต่ำกว่าสามล้านบาท 37% กลุ่ม 3-5 ล้านบาทคิดเป็น 30% และกลุ่มราคา 5-7 ล้านบาทคิดเป็น 15% ส่วนกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาทขึ้นไปถึง 20 ล้านบาท มีสัดส่วนรวมทั้งหมด 17% โดยกลุ่มงบประมาณซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่า 10 ล้านบาท ขึ้นไปมองว่าพื้นที่รับประทานอาหารและห้องน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสะท้อนความหรูหรามากกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่กลุ่มที่มีงบประมาณมากกว่า 20 ล้านบาทให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่สวนภายในบ้าน 

น.ส.สุมิตรา กล่าว ภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า ปัจจุบันยอดขายที่อยู่อาศัยในตลาดยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าที่อยู่อาศัยในทุกเซกเมนต์จะมีการปรับตัวดีขึ้นหลังช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จำนวนยอดขายยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นมากลุ่มที่อาศัยทุกระดับทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในปี 67 ดังนั้นตลาดยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่มีเพียงกลุ่มที่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 80,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ที่มีการหดตัวลง

จากแนวโน้มดังกล่าวจะเห็นว่าเทรนด์การขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯ ยังคงเป็นไปในทิศทางบวก โดยคาดว่าคอนโดจะเป็นเซกเมนต์สำคัญที่กลับมาขยายตัวได้ดี หลังจากที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯ ขยายตัวเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าในปี 68 ที่จะถึงนี้กลุ่มคอนโดฯ ระดับราคา 85,000-150,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นเซกเมนต์ที่มีการขยายตัวได้ดีที่สุด ส่วนคอนโดฯ ระดับราคา 150,000 -200,000 บาทต่อ ตร.ม. เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นแต่อาจจะยังขยายตัวได้ไม่ดีเท่ากลุ่มแรก

โดยทำเลคอนโดคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้น คือ ในย่านบางนา และลาดกระบัง ซึ่งเป็นทำเลที่อยู่ใกล้สถาบันการศึกษาและนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากในลาดกระบังมีการขยายพื้นที่การศึกษา มีการเปิดคณะใหม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน มีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า แต่รถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นยังไม่เชื่อมต่อกันกับแอร์พอร์ตลิงก์ ขณะเดียวกัน การมาของรถไฟฟ้าทำให้ราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าปรับสูงขึ้น ดังนั้นทำเลที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จึงไปเกาะใกล้กับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ทิศทางดังกล่าวทำให้กลุ่มคอนโดฯ ระดับราคา 85,000-150,000 บาทต่อตร.ม. มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในปีหน้า

ทำเลคอนโดถัดมาที่คาดว่าจะมีการเปิดตัวใหม่และขยายตัวดีคือทำในรามคำแหง ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและใกล้ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ถัดมาคือทำเลในย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรามอินทราซึ่งเป็นทำเลที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า นอกจากนี้ ทำเลย่านรังสิต และคูคตก็เป็นอีกทำเลที่จะมีการขยายตัวของคอนโดฯ ได้ดีเนื่องจากอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเช่นกัน

ขณะที่ตลาดทาวน์โฮมในเซกเมนต์ระดับราคา 3 ล้านบาท เป็นเซกเมนต์ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลให้รีเจ็กต์เรตสูงมากในช่วงที่ผ่านมา ทาวน์โฮมระดับราคา 5-7 ล้านบาทขึ้นไปมีแนวโน้มการขยายตัวกลับมาดีขึ้น ส่วนทาวน์โฮมระดับราคา 10-15 ล้านบาท แม้ว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการขยายตัวได้ดีกับกลุ่มทาวน์โฮมระดับราคา 5-7 ล้านบาท

“สำหรับทาวน์โฮมระดับราคา 5-7 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวดีมากในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้เมืองสามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งงานได้สะดวก ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้เมืองมากขึ้น เนื่องจากการออกไปอยู่นอกเมืองไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับในการใช้ชีวิต ทำให้ความนิยมซื้อทาวน์โฮมในพื้นที่ใกล้เมือง อยู่ในย่านที่มีร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ได้รับความนิยมมาก”
 

 


น ส.สุมิตรา กล่าวว่า ทำเลที่มีโอกาสและมีแนวโน้มจะขยายตัวไปได้ต่อของกลุ่มที่อาศัยทาวน์โฮม ซึ่งจากการพิจารณาด้านยอดขายพบว่าทำเลในย่านบางแค เพชรเกษม บางนา บางบ่อ ลาดกระบัง  รามอินทรา มีนบุรี เนื่องจากกรมอุตสาหกรรมประเภทอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งการลงทุนใหม่มีการขยายการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในโซนตะวันออก ซึ่งการเข้ามาลงทุนดังกล่าวทำให้กลุ่มสินค้าเกือบทุกระดับมีการขยายตัวในโซนนี้

อย่างไรก็ตาม ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว private โซน ส่งผลให้กลุ่มบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมมีอัตราการขยายตัวที่ดีมาก แม้ว่าจะมีทำเลที่ตั้งโครงการห่างจากเมืองออกไป เช่น พื้นที่วงแหวนรอบนอก แนวถนนกาญจนาภิเษก ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะยอมใช้ระยะเวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นแต่ได้พื้นที่มากขึ้น ขณะที่ บ้านเดี่ยวต่ำกว่า 5 ล้านบาท ยังไม่พบว่ามีสัญญาณการขยายตัว ส่วนบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ระดับราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสในการขยายตัวอยู่ สังเกตได้จากอัตราการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีปริมาณไม่มากนัก ขณะที่อัตราการระบายออกได้อยู่ โดยทำเลที่ยังสามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง อันดับ 1 คือ ทำเลบางแค บางใหญ่ บางบัวทอง ศาลายา อันดับ 2 คือ ทำเลย่านเกษตรนวมินทร์ รามอินทรา อันดับ 3 คือ บางนา

ขณะที่ทิศทางตลาดอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนมองว่า ตลาดอสังหาฯ ไทยเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาในด้านยอดขายของบริษัทอสังหาฯ 15 อันดับแรกที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมากลับมียอดขายสวนทางกับภาวะตลาด ซึ่งภาวะดังกล่าวไม่สะท้อนความเป็นจริงของตลาดนั้น จริงๆ แล้วหากพิจารณาที่ยอดขายเพียงอย่างเดียวจะพบว่ามีการปรับตัวสูงขึ้น แต่หากพิจารณาที่สาเหตุของการเพิ่มขึ้นจะพบว่ามีสาเหตุมาจากผู้ประกอบการอสังหาฯ ยอมลดกำไรลงเพื่อให้มียอดขายที่เพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จากกำไรของบริษัทอสังหาฯ ในช่วงเก้าเดือนแรกมีการปรับตัวลดลงทุกบริษัท

โดยเฉลี่ยของบริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรลดลง ในขณะที่รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการหั่นกำไรของตัวเองเพื่อรักษายอดขาย จากเดิมที่กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 14% ปัจจุบันมีอัตรากำไรเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 9.3% สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการพยายามปั๊มยอดขายจากการลดกำไร ดังนั้น ภาพที่เห็นว่าเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ แต่ยอดขายของผู้ประกอบการยังคงขยายตัวได้อยู่นั้นเกิดจากการกระตุ้นดีมานด์จากการลดกำไรขายผ่านโปรโมชันต่างๆ ของผู้ประกอบการ
 

 


อย่างไรก็ตาม รูปแบบการดำเนินการต่างๆ ของผู้ประกอบการนั้นถือว่าถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีเนื่องจากเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการให้เหมาะสมกับทิศทางของตลาดและแมตช์กับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีการปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีผู้ประกอบการเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีนี้ยอดขายโดยรวมของธุรกิจอสังหาฯ จะยังคงต่ำกว่ายอดขายของปีที่ผ่านมา 5-8% หรือมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ในหลายรายมีการปรับลดประมาณการยอดขายลง ขณะที่บริษัทที่ยังคงเป้ายอดขายเดิมไว้มีอยู่น้อยราย และคาดว่าจะมีเพียง 3 หรือ 4 รายเท่านั้นที่จะมียอดขายถึงเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยสามในสี่รายนั้นประกอบด้วย บมจ.แสนสิริ เอพี และศุภาลัย ที่มีโอกาสจะทำยอดขายได้ตามเป้า

สำหรับตลาดอสังหาฯในต่างจังหวัดนั้นหากพิจารณาจังหวัดเศรษฐกิจหลักๆ แล้วมีเพียงจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาฯ สูงที่สุดในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ถัดมาคือจังหวัดนครราชสีมา ยังคงเป็นจังหวัดที่ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
 

 


มิกซ์ยูสเทรนด์อสังหาฯ ปี 68

น ส.สุมิตรา กล่าวว่า สำหรับตลาดในปี 68 เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะได้รับความนิยมคือโครงการประเภทิกซ์ยูส เนื่องจากผู้ประกอบการมีประสบการณ์จากการขายคอนโดฯ เพียงอย่างเดียว และประสบปัญหาการบริหารสภาพคล่อง หรือปัญหาการขาดสภาพคล่อง เนื่องจากการขายคอนโด เพียงอย่างเดียวหากไม่สามารถโอนให้ลูกค้าได้ผู้ประกอบการจะไม่มีกระแสเงินสดมากพอที่จะนำไปพัฒนาโครงการใหม่หรือต่อยอดการพัฒนาโครงการใหม่ใหม่ได้ ในขณะที่หากมีการปรับสมาคมในการเป็นโครงการประเภทมิกซ์ยูส ในช่วงที่ยังไม่สามารถโอนห้องชุดให้ลูกค้าได้ ผู้ประกอบการสามารถปรับพอร์ตโครงการเพื่อขายมาเป็นเช่าเพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้ยังมีกระแสเงินสดเข้ามาในบริษัทอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถนำพื้นที่เช่าหรือห้องเช่าไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ไม่จำเป็นต้องรอรายได้ก้อนใหญ่จากการขายเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างผู้ประกอบการที่มีการปรับพอร์ตสินค้าผู้ขายในโครงการมิกซ์ยูส เป็นสินค้าเช่า คือ บมจ.ออริจิน พร็อพเพอร์ตี้ โดยออริจินนั้นมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องแต่ Black มีจำนวนน้อยมาก โดยโครงการใหม่ๆ จะเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่สามารถสร้างรายได้จากค่าเช่า แล้วนำพอร์ตรายได้จากการเช่าไปยื่นกู้เพื่อนำกระแสเงินสดเข้าบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ลักษณะเช่นนี้เป็นการบริหารแคชโฟร์ของบริษัทอสังหาฯ อีกรูปแบบหนึ่ง

ทั้งนี้ เทรนด์การพัฒนาอสังหาฯ รูปแบบนี้จะทำให้ต่อไปผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่เคยพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวจะมีการปรับพอร์ตมาพัฒนาโครงการประเภทมิกซ์ยูสเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการได้มากกว่าการขายเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้โดยทฤษฎีแล้วโครงการมิกซ์ยูส แบ่งออกได้เป็นสองรูปแบบคือ 1.VERTICAL ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ที่สร้างมูลค่าให้ตัวอาคารเป็นหลัก โดยตัวอย่างรูปแบบโครงการดังกล่าวที่เห็นได้ชัดคือโครงการวัน One Bangkok 2.Horizontal ซึ่งเป็นรูปแบบโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้พื้นที่โครงการโดยรอบ ตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ย่านพระราม 9 และโครงการในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้พื้นที่เหมาะสำหรับโครงการพัฒนาเมือง