แสนสิริประกาศแผนปี67 ปักหมุด46 โครงการ6.1 หมื่นล้าน 4 หัวเมืองท่องเที่ยว

23 ม.ค. 2567 | 12:11 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ม.ค. 2567 | 12:21 น.

บิ๊กแสนสิริ  ประกาศ แผน ปี67  ปักหมุด  46 โครงการมูลค่า 6.1 หมื่นล้าน ปูพรม  4 หัวเมืองใหญ่ ท่องเที่ยว ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน

 

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI  เปิดเผยว่า แผนธุรกิจของบริษัทที่เข้าสู่ปีที่ 40 ได้วางแนวทาง “RESILIENT GROWTH - ยืนหยัด ยั่งยืน” โดยนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม มาต่อยอดธุรกิจ และขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคอย่างตรงใจและโดดเด่นเหนือคู่แข่ง

 

 

ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิ คาดว่าแสนสิริจะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โตอย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถเปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทุกโปรดักต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง

 

ขณะเดียวกันได้มีการปรับโครงสร้างเพื่อมุ่งทรานฟอร์มองค์กร แต่งตั้งคนรุ่นใหม่เสริมองค์กร ร่วมสร้างการเติบโตสู่ทศวรรษใหม่ ตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำของประเทศไทย นำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการอยู่อาศัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครบวงจร และสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

“เป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 กว่าเป็นแสนสิริ องค์กรชั้นนำที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายการเข้าทำงานของคนรุ่นใหม่ เราผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งวิกฤตกับโอกาสเป็นของคู่กัน ทุกวิกฤตทำให้เราแข็งแกร่ง และเติบโตขึ้น เราไม่ได้เติบโตเพราะอยู่นาน แต่เป็นเพราะเราพร้อมเปลี่ยนแปลง รวดเร็ว ต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพของคนที่ถูกบ่มเพาะ ภายใต้ดีเอ็นเอเดียวกัน คือ SPEED TO MARKET, ATTENTION TO DETAIL และ WORK FROM HEART”

 

บุกตลาดบ้านลักชัวรี 

นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า  แสนสิริรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างดี จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด ส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในปี 2566 ได้ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถ Sold Out ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท

สำหรับปี 2567 มุ่งขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักซ์ชัวรี่มากขึ้น และตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท

โครงการไฮไลท์ในปีนี้กลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ‘นาราสิริ บางนา กม. 10’ มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45 – 70 ล้านบาท เศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท นำร่องด้วยเศรษฐสิริ วัชรพล - เทพรักษ์โครงการใหม่ ใจกลางวัชรพล มูลค่า 2,700 ล้านบาท อีกทั้งได้รุกตลาดแนวราบในระดับราคาเข้าถึงง่าย ด้วยการเปิดตัวสราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท กับจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท 

พร้อมกันนี้เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘ณริณสิริ’ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และ ‘มาเบิล’ (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท

ลุยคอนโดฯ 20 โครงการ

ด้านธุรกิจแนวสูง มีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รุกแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขยายลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลท์ คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ได้แก่ ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’ มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก

ขณะเดียวกันมีแผนเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61 รวมถึงการเจาะตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย ทั้งแบรนด์แคมปัสคอนโด กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท