คดี “แอชตัน อโศก” ล่าสุด “ศรีสุวรรณ” บี้ กทม.ออกคำสั่งห้ามใช้อาคาร

01 ส.ค. 2566 | 11:47 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ส.ค. 2566 | 12:14 น.
617

ความคืบหน้าล่าสุด คดี “แอชตัน อโศก” หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนใบแจ้งหรือใบอนุญาตก่อสร้าง “ศรีสุวรรณ จรรยา” บี้ กทม. ออกคำสั่งห้ามใช้อาคารด่วนตามกฎหมาย

ความคืบหน้าล่าสุด กรณีศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนใบแจ้งหรือใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโครงการ “แอชตัน อโศก” ซอยสุขุมวิท 21 ทุกใบ เนื่องจากไม่เป็นไปตามกฎกระทรวงของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย

วันนี้ (1 สิงหาคม 2566) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ระบุว่า หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วเป็นหน้าที่ของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะต้องปฏิบัติและออกคำสั่งบังคับให้เป็นไปคำพิพากษาของศาล ตามกฎหมายโดยเคร่งครัดโดยเร็ว

กรณีดังกล่าวตาม พรบ.ควบคุมอาคาร 2522  ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นไว้ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อรับทราบคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดซึ่งรับรู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าการแจ้งการก่อสร้างอาคารดังกล่าวไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 39 ทวิ และตามมาตรา 39 ตรี กทม.ต้องมีหนังสือแจ้งข้อทักท้วงไปยังผู้แจ้งหรือผู้ขออนุญาตให้รีบแก้ไขให้เป็นไปตามกฎหมายภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 วัน 

หลังจากนั้น กทม.ต้องมีคำสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือบุคคลใดเข้าไปใช้อาคารดังกล่าวและจัดให้มีเครื่องหมายแสดงการห้าใช้อาคารไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ อาคารหรือบริเวณดังกล่าว ตามมาตรา 40 โดยเร็ว

 

นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน

กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีความเป็นไปได้ว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น สามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางเข้า-ออกอาคารให้เป็นไปตามกฎหมายหรือให้ถูกต้องได้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของอาคารยื่นคำขออนุญาตหรือดำเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด 

แต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 วันในกรณีที่มีเหตุอันสมควรที่มีเหตุผลเพียงพอ เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะขยายเวลาดังกล่าวออกไปอีกก็ได้ แต่ก็ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจนไม่ยาวนานจนเกินไป ซึ่งก็น่าจะไม่เกิน 45 วัน

หากบริษัทเจ้าของโครงการดังกล่าว ไม่สามารถจัดซื้อจัดหาที่ดินเป็นทางเข้า-ออกอาคารกว้าง 12 เมตรขึ้นไปตามที่กฎหมายกำหนดได้ กทม.ต้องดำเนินการตามมาตรา 42 โดยเคร่งครัด คือ ต้องออกคำสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงานหรือผู้ดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมด หรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 วันโดยให้ดำเนินการรื้อถอนตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 8 (11) หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 

ดังนั้น เมื่อ พรบ.ควบคุมอาคาร 2522 มีกรอบการทำงานให้ กทม.ต้องปฏิบัติไว้ชัดเจนแล้ว กทม.จะทำตัวเป็นพ่อพระใจดี ปล่อยให้อาคารดังกล่าวใช้ประโยชน์ต่อไปโดยไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน โดยไม่ออกคำสั่งใด ๆ ตามขั้นตอน วิธีการตามที่กฎหมายกำหนดไม่ได้ 
อย่าลืมว่า กทม.ไม่ใช่หน่วยงานรัฐอิสระ หากแต่ยังมีองค์กรหรือหน่วยงานตรวจสอบ กทม.อยู่ คือ ป.ป.ช.และหรือศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง 

 

ภาพประกอบ อาคารโครงการ “แอชตัน อโศก” ซอยสุขุมวิท 21

 

ก่อนหน้านี้ นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สำนักการโยธา กรุงเทพมหานครจะมีหนังสือแจ้ง สำนักงานเขตวัฒนา พิจารณาออกคำสั่งให้เจ้าของอาคารดำเนินการแก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร โดยใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41  และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี

อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบรับแจ้งการก่อสร้างดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าอาคารชุดแอชตัน อโศก จะต้องมีการรื้อถอนอาคาร บริษัทผู้เป็นเจ้าของโครงการ สามารถยื่นขอใบแจ้งก่อสร้างใหม่ได้ที่สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร โดยบริษัทจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่ศาลสั่ง 

คือเพิ่มทางเข้า-ออกโครงการให้มีความกว้างของถนน 12 เมตร และอยู่ติดกับถนนสาธารณะที่มีความกว้าง 18 เมตร ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายผังเมืองกำหนด หากบริษัทเจ้าของโครงการสามารถปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางเข้า-ออกแล้วเสร็จ ก็สามารถยื่นขอใบแจ้งก่อสร้างได้

นายวิศณุ ยอมรับว่า กรณีนี้ขอเวลาให้ทีมกฎหมายของกรุงเทพมหานครพิจารณารายละเอียด ตามคำพิพากษาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากมีผลกระทบกับประชาชนอย่างสูง