ORI โชว์ผลงาน 9 เดือน โอนแกร่ง ทำกำไร 2,386 ลบ.

15 พ.ย. 2564 | 09:36 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ย. 2564 | 16:51 น.

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”หรือ ORI เผยผลประกอบการ 9 เดือน ปี 64 โอนกรรมสิทธิ์แกร่ง ทำรายได้รวม 11,794 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 2,386 ล้าน วางเกมกลยุทธ์แคมเปญออนไลน์ กระทุ้งยอดคอนโดปลายปี หนุนรายได้ตามเป้า

15 พ.ย. นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย. 2564) อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,794 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 (%YoY) 

 

ส่งผลให้รายได้รวมขณะนี้คิดเป็น 84% ของเป้ารายได้ทั้งปี 2564 ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,386 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 (%YoY) โดยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,123 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 709 ล้านบาท 
 

ทั้งนี้ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (Non-JV) ในช่วงไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 3,666 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 66% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้สร้างรากฐานยอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ไว้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าตามแผนการเติบโตของบริษัท ทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2564 มีโครงการที่ทยอยรับรู้รายได้เพิ่มเติมต่อเนื่อง 

 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้จัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด กระตุ้นการตัดสินใจซื้อโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) และการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดแคมเปญ 9.9 Origin Condo Fest มหกรรม Live ขายคอนโดมิเนียมที่เชิญศิลปินชื่อดังและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มาร่วมสร้างสีสัน มอบองค์ความรู้ด้านอสังหาฯให้แก่ผู้บริโภคควบคู่กับการขายคอนโดมิเนียมออนไลน์ 

“ไตรมาส 3/2564 เป็นไตรมาสที่ไม่ง่ายสำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการปิดแคมป์คนงานในช่วงต้นไตรมาส ซึ่งส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างและการโอนกรรมสิทธิ์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำสถิติรายวันพุ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอกแรกและมาตรการกึ่งล็อคดาวน์ที่ชะลอการเดินทางเยี่ยมชมโครงการของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ออริจิ้นเองพยายามวางรากฐานด้านต่างๆ ของบริษัทให้แข็งแรง นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดระลอกแรก ทำให้สามารถปรับตัวได้เร็วและยังคงรักษาระดับผลการดำเนินงานไว้ได้ภายใต้ความท้าทาย” 


นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 4/2564 ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจากหลายปัจจัย อาทิ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ลดลง การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่สีแดงเข้ม ส่งผลให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น สามารถกลับมาประกอบธุรกิจและมีรายได้ ภาพรวมกำลังซื้อจึงค่อยๆ ดีขึ้น การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว ปรับเพดานอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) กลับสู่ระดับ 100% จนถึงสิ้นปี 2565 ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและมีขีดความสามารถในการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น 

 

อีกทั้ง บริษัทได้เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ประกอบกับแนวทางในการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 4/2564 โดยช่วงดังกล่าวจะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติม 4 โครงการ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) 2.นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง (Notting Hill Rayong) 3.แกรนด์ บริทาเนีย สุวรรณภูมิ (Grand Britania Suvarnabhumi) 4.บริทาเนีย ติวานนท์ ราชพฤกษ์ (Britania Tiwanon-Ratchapruek) จึงทำให้บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมรายได้ปี 2564 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท