เปิดแคนดิเดต ชิง‘เก้าอี้นายกฯ’ รับโหมดเลือกตั้ง

09 ต.ค. 2564 | 13:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ต.ค. 2564 | 20:49 น.
3.8 k

เปิดแคนดิเดต ชิง‘เก้าอี้นายกฯ’ รับโหมดเลือกตั้ง : รายงาน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,721 หน้า 12 วันที่ 10 - 13 ตุลาคม 2564

สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ ให้ความรู้สึกเสมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ “โหมดเลือกตั้ง” มีการ “เลือกตั้ง ส.ส.” เกิดขึ้น เพราะฝ่ายรัฐบาล รัฐมนตรีแต่ละคนไล่ไปตั้งแต่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต่างเดินสายลงพื้นที่ต่างจังหวัดถี่ยิบ

แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรี ที่ต้องดูแลทุกข์สุข แก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่ก็อาจแฝงไว้ด้วยการ “หาเสียง” เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 2565 นี้

ขณะเดียวกัน พรรคการเมืองต่างๆ เริ่มเปิดชื่อบุคคลที่พรรคจะเสนอให้อยู่ใน “บัญชีนายกรัฐมนตรี” ของพรรค เพื่อเสนอตัวชิงเก้าอี้นายกฯภายหลังการเลือกตั้ง ที่แต่ละพรรคเสนอได้ 3 รายชื่อ

ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสำคัญกับผู้ที่พรรคการเมืองเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯ ไม่ต่างจากความรู้สึกของประชาชนในห้วงที่การเมืองร้อนระอุจากสารพัดปัญหาที่รุมเร้ารัฐบาล กดดันให้บิ๊กตู่ “ถอดใจ” ยุบสภา หรือลาออก เปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ 

แม้ยังไม่มีความชัดเจนจะมีเลือกตั้งเมื่อไร แต่แกนนำพรรคการ เมืองทั้งซีกฝ่ายค้านและรัฐบาล ต่างออกมาเปิดชื่อ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของแต่ละพรรคอย่างต่อเนื่อง ยกเว้น พรรคเพื่อไทย ยังอุบชื่อไว้ก่อน หวั่นว่าจะตกเป็นเป้าถูกทำลาย บอกแต่เพียงว่าเมื่อเปิดออกมาแล้วมี “เซอร์ไพรส์” 

 

พปชร.ชู“บิ๊กตู่”นายกฯต่อ

สำหรับพรรคที่เปิดแคนดิเดต นายกฯ ออกมาแล้ว โฟกัสที่ พรรคพลังประชารัฐ  มีความพยายามสมานรอยร้าวในพรรค หลังเกิดปรากฏการณ์“เขย่าเก้าอี้นายกฯ” จากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี และล่าสุดมีเสียงจาก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคยืนยันว่า พรรคจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อไปอีก พร้อมยํ้าว่า เป็นคนเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” ด้วยตัวเอง   

มีเสียงจาก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล ออกมายืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยินดีและขอบคุณที่พรรคพลังประชารัฐให้ความไว้วางใจและทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนว่าคิดอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งหน้าท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไปพรรคใหม่ของ บิ๊กฉิ่ง-ฉัตรชัยพรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย

 

เปิดแคนดิเดต ชิง‘เก้าอี้นายกฯ’ รับโหมดเลือกตั้ง

 

 

 

ปชป.เสนอ“จุรินทร์”

ขณะที่ท่าทีจากแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ บุญญามณีรมช.มหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ชัดว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ คือแคนดิเดต นายกฯ ของพรรค เพราะเป็นหัวหน้าพรรค และเชื่อว่า นายจุรินทร์ พร้อมที่จะเป็นนายกฯ หากได้รับเสียงไว้วางใจอย่างเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล 

“ด้วยประสบการณ์การเป็นรัฐมนตรีมาแล้วเกือบทุกกระทรวง ตั้งแต่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลการปราบปรามยาเสพติด ดูแลด้านการท่องเที่ยวกีฬา ดูแลกระทรวงพาณิชย์ ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข จนกระทั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่ามีความพร้อมอยู่แล้ว”

นายนิพนธ์ การันตีอีกว่า เรื่องความรู้ความสามารถ เรื่องเศรษฐกิจผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะนโยบายประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งทีมที่ปรึกษาต่างๆ ก็มีความพร้อมเรื่องบุคลากรของพรรค รวมถึงผู้ หลักผู้ใหญ่ของพรรค อาทิ  นายชวนหลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นาย ศุภชัย พานิชภักดิ์ ยังคงอยู่กับพรรคอย่างครบถ้วน 

 

ภท.ดัน“เสี่ยหนู”

ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า พรรคภูมิใจไทย ชู นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯ เพียงคนเดียว และหากมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่พรรคพร้อมทุกอย่าง 

 

“พิธา”พร้อมชิงนายกฯ

สอดคล้องกับพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุชัดเจนพร้อมเป็น“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ทั้งชี้ว่าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเป็นการส่งสัญญานความพร้อมของพรรค ให้เห็นกระบวนการทำงาน 

ส่วน พรรคไทยศรีวิไลย์ ไม่ตกเทรนเช่นกันเมื่อ นายวิวัฒน์ เจริญพาณิชย์ศิริ เลขาธิการพรรค ประกาศว่า การเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ว่าจะเป็นระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียวหรือบัตร 2 ใบ ก็จะได้ นายมงคลกิตติ์สุขสินธารานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

 

ทสท.ชู“หญิงหน่อย” 

ดูเหมือนว่า พรรคน้องใหม่ อย่าง “พรรคไทยสร้างไทย” หรือ ทสท. มีความเคลื่อนไหวคึกคักไม่แพ้กัน โดย นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้าง ยืนยันแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคคือ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” และหลังจากนี้พรรคพร้อมเปิดรับบุคคลทุกรุ่นทุกกลุ่ม เข้ามาร่วมงานการเมืองกับพรรคไทยสร้างไทย  

 

กล้าชี้“กรณ์”เหมาะ

เช่นเดียวกับ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ระบุว่า ทางพรรคเสนอ กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรมว.คลัง เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติิรอบด้าน

“ความสามารถด้านเศรษฐกิจด้านการเงิน การคลัง คุณกรณ์มีอยู่เต็ม เคยได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐมนตรีคลังโลก ซึ่งสมัยที่เป็น รัฐมนตรีคลังก็ทำให้ไทยได้พ้นจากวิกฤติเศรษฐกิแฮมเบอร์เกอร์มาแล้วและจากที่ผมรู้จักคุณกรณ์มาเป็นสิบปีคือ คุณกรณ์มีความคิดร่วมสมัย มีใจพร้อมรับฟังคนทุกรุ่น” เลขาธิการพรรคกล้า ระบุ

 

25ส.ส.เสนอชื่อชิงนายกฯ

สำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งนั้น พรรคที่มีสิทธิเสนอได้ต้อง มีส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่คือ 500 คน หรือ มีส.ส. 25 คนขึ้นไป

เมื่อแต่ละพรรคมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้ว ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 159 กำหนดที่มาของ “นายกรัฐมนตรี” ว่า ต้องมาจากพรรคการเมืองที่มีส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่คือ 500 คน เท่ากับว่า พรรคที่ได้ ส.ส. 25 คนขึ้นไป มีสิทธิเสนอชื่อจากบัญชีพรรคเป็นนายกฯ  

นอกจากนี้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ต้องมี ส.ส.รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือ ส.ส. อย่างน้อย 50 คน 

มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร คือ 250 เสียง

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ได้ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เปิดช่องให้ที่ประชุมร่วมระหว่าง ส.ส. และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ร่วมประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ  

โดยสองสภา จะมีสมาชิกทั้งสิ้น 750 คน แบ่งเป็น ส.ส. 500 คนและส.ว. 250 คน โดยผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกฯ ต้องมีเสียงสนับ สนุนของสมาชิกรัฐสภามากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ นั่นคือ 376 เสียง

ขณะนี้แต่ละพรรคการเมืองมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ กันแล้ว เหลือแต่ต้องลุ้นว่า จะได้หย่อนบัตรเลือกตั้งเมื่อไหร่ ในสถานการณ์ที่ “บิ๊กตู่” ประกาศสู้ต่อ ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา!!