thansettakij
"พิเชฐ"ย้ำเตือนแผ่นดินไหว ภัยสุ่มเสี่ยง!

"พิเชฐ"ย้ำเตือนแผ่นดินไหว ภัยสุ่มเสี่ยง!

28 มี.ค. 2568 | 12:38 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มี.ค. 2568 | 13:06 น.

“พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน” (อาจารย์ทอมมี่) อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทยย้ำแผ่นดินไหว ภัยสุ่มเสี่ยง!

แผ่นดินไหว! เมื่อวันที่ 28มีนาคม 2568 จุดศูนย์กลางเกิดขึ้นที่บริเวณเมือง “มัณฑเลย์ประเทศเมียนมา” แรงสะเทือนถึงไทยทั่วประเทศ  กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยารายงานขนาด 7.4 แรงสั่นสะเทือนขยายวงกว้างมาในหลายจังหวัดภาคเหนือ  รวมถึงภาคกลางของไทยเกิดเหตุการณ์ตึกสูงได้รับแรงสะเทือนดังกล่าว  ระหว่างทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ   เร่งประเมินความเสียหาย ทั้งอาคารและประชาชน และหน่วยงานต่างๆเตรียมรับมือกับ “อาฟเตอร์ช็อก”

ประเทศไทยอาจไม่ใช่ประเทศที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวเทียบเท่าประเทศในเขตวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) แต่เหตุการณ์แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่กลับเตือนเราว่า “ภัยธรรมชาติ” อย่างแผ่นดินไหวสามารถเกิดขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ชีวิต และทรัพย์สินอย่างมหาศาล  แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงบางครั้ง แต่ในมุมมองของ คณิตศาสตร์ประกันภัย นั้นถือเป็น “ความเสี่ยงสุ่ม” (Random Risk) ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และนี่คือโจทย์สำคัญสำหรับทั้งภาคธุรกิจและคนทั่วไปในการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้

แผ่นดินไหวกับผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม

การเกิดแผ่นดินไหวไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในระดับบุคคล เช่น ความเสียหายต่อบ้าน รถยนต์ และชีวิต แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวมในหลายมิติ ได้แก่:

1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

อาคารบ้านเรือนที่เสียหายจากแผ่นดินไหวจำเป็นต้องซ่อมแซม ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการดำเนินการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้มูลค่าทรัพย์สินลดลง หากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของโครงการ

2.ธุรกิจประกันภัย

แผ่นดินไหวถือเป็นหนึ่งใน “ภัยธรรมชาติ” ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจประกันภัยโดยตรง เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีความเสียหายรุนแรง บริษัทประกันต้องเผชิญกับการเรียกร้องสินไหมทดแทนจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินการในระยะยาว โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และบริษัทประกันภัยไม่ได้เตรียมสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัยไว้ หรือไม่ได้ทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) ไว้เพียงพอ ก็อาจนำไปสู่ผลกระทบในวงกว้างต่อเสถียรภาพทางการเงินของทั้งอุตสาหกรรม

3.ภาคธุรกิจและการผลิต

โรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีโรงเก็บสินค้าอาจเผชิญกับความเสียหายต่อโครงสร้างและเครื่องจักร อันนำไปสู่การหยุดชะงักของสายการผลิต ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อรายได้ของบริษัท แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมไปยังห่วงโซ่อุปทานโดยรวม

4.การลงทุนและตลาดทุน

ในบางกรณี เหตุการณ์แผ่นดินไหวอาจสร้างความวิตกกังวลในตลาดการเงิน โดยเฉพาะกับนักลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย และการก่อสร้าง

ผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัย: ความเสี่ยงและการปรับตัว

ประเทศไทยอาจไม่ใช่ประเทศที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวเทียบเท่าประเทศในเขตวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) แต่เหตุการณ์แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่กลับเตือนเราว่า “ภัยธรรมชาติ” อย่างแผ่นดินไหวสามารถเกิดขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ชีวิต และทรัพย์สินอย่างมหาศาล

แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงบางครั้ง แต่ในมุมมองของ คณิตศาสตร์ประกันภัย นั้นถือเป็น “ความเสี่ยงสุ่ม” (Random Risk) ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และนี่คือโจทย์สำคัญสำหรับทั้งภาคธุรกิจและคนทั่วไปในการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้

ภาคธุรกิจประกันภัยถือเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวมากที่สุด เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการแบกรับความเสี่ยงผ่านการจ่ายสินไหมทดแทน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะเห็นว่า บริษัทประกันภัยคงจะต้องมีการปรับตัวในหลากหลายมิติ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น:

1.การปรับโครงสร้างเบี้ยประกันภัย

จากมุมมองของ คณิตศาสตร์ประกันภัย การคำนวณเบี้ยประกันภัยที่ครอบคลุมแผ่นดินไหวจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น โอกาสการเกิดแผ่นดินไหว ความรุนแรงในพื้นที่ และประวัติการเกิดเหตุในอดีต เมื่อความถี่และความเสียหายเพิ่มขึ้น เบี้ยประกันภัยจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

2.การทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)

เพื่อกระจายความเสี่ยง บริษัทประกันภัยในประเทศไทยส่วนใหญ่จะทำสัญญาประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ในระดับสากล การดำเนินการเช่นนี้ช่วยให้บริษัทประกันสามารถลดความเสี่ยงจากการจ่ายสินไหมทดแทนก้อนใหญ่ในกรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง

3.การให้ความรู้แก่ผู้บริโภค

บริษัทประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงผ่านผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น การให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของกรมธรรม์ที่ครอบคลุมแผ่นดินไหว หรือข้อยกเว้นที่ควรทราบ

4.การบริหารความเสี่ยงด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)

ธุรกิจประกันภัยเริ่มใช้ข้อมูลเชิงลึกจากเทคโนโลยี Big Data และ Machine Learning เพื่อประเมินความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในเชิงลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้ง ความหนาแน่นของประชากร หรือข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Data)

ข้อแนะนำสำหรับคนทั่วไปในการเริ่มต้นวางแผนซื้อความคุ้มครองแผ่นดินไหว

1.ตรวจสอบความคุ้มครองในกรมธรรม์ที่มีอยู่

เราควรเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบกรมธรรม์ปัจจุบัน เช่น ประกันบ้าน ประกันรถยนต์ และประกันชีวิต ว่าครอบคลุมความเสียหายจากแผ่นดินไหวหรือไม่ หากยังไม่มีความคุ้มครอง สามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อเพิ่มความคุ้มครอง

2.ศึกษาข้อมูลการคำนวณเบี้ยประกันภัย

ถ้าใครพอมีความรู้ทางด้านสถิติตัวเลชหรือทางพื้นฐานความเข้าใจในคณิตศาสตร์ประกันภัย ก็สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการคำนวณเบี้ยประกันภัยจะช่วยให้คุณเลือกซื้อกรมธรรม์ที่เหมาะสมที่สุด หรือสนใจศึกษาได้ที่ www.tommypichet.com/article

3.วางแผนความคุ้มครองให้เหมาะกับความเสี่ยงส่วนบุคคล

หากคุณมีบ้านในพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น ใกล้รอยเลื่อนที่ยังคุกรุ่น การทำประกันภัยที่ครอบคลุมแผ่นดินไหวจะช่วยลดภาระทางการเงินอย่างมาก

สรุป:

เหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ไม่ว่าจะในระดับบุคคลหรือภาคธุรกิจ การวางแผนความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกมิติผ่านมุมมองเชิง คณิตศาสตร์ประกันภัย จะช่วยลดผลกระทบและสร้างความมั่นคงในระยะยาว

สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยได้ที่:

www.tommypichet.com/article