ทิสโก้แนะฉวยจังหวะหุ้นร่วงทั่วโลก

10 พ.ค. 2565 | 12:19 น.
อัปเดตล่าสุด :10 พ.ค. 2565 | 19:45 น.

ธนาคารทิสโก้ชี้หุ้นทั่วโลกมีโอกาสร่วงต่อ ชี้เป็นโอกาสทอง แนะนักลงทุนซื้อหุ้นเมกะเทรนด์กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนวัตกรรมการแพทย์ คาดโตเด่น 15 - 27% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

ธนาคารทิสโก้ชี้หุ้นทั่วโลกมีโอกาสร่วงต่อ จากแรงกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แนะนักลงทุนอย่าเพิ่งถอดใจ ชี้เป็นโอกาสทองซื้อหุ้นเมกะเทรนด์กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนวัตกรรมการแพทย์ คาดโตเด่น 15 - 27% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ยขาขึ้น

 

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า การลงทุนในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าอยู่ในช่วง ‘ฝุ่นตลบ’ เพราะตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงตามความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว และ

 

มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock)

ด้านธนาคารกลางสำคัญทั่วโลกก็เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดขนาดงบดุล (QT) เพื่อบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อ

 

ดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ล่าสุดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.75 - 1.00% ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นในอัตรามากสุดนับตั้งแต่ปี 2543 เพราะมีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปีมาอยู่ในระดับ 8.5%

 

นอกจากนี้ ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ยังเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ทำให้หุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลงต่อ โดยข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ (TISCO ESU)

 

คาดว่า ณ สิ้นปี 2565 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed จะอยู่ที่ 2.75% และกลางปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 3.3% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงเช่นนี้ ตามสถิติพบว่า ตลาดหุ้นมักตอบรับในเชิงลบอย่างเช่นในปี 2511 ปี 2516 ปี 2523 และ ปี 2527 ที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2% ในช่วง 6 เดือน ทำให้ดัชนี S&P 500 เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงการขึ้นดอกเบี้ย

นายณัฐกฤติกล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ธนาคารทิสโก้มองว่า นักลงทุนไม่ควรถอดใจหรือชะลอการลงทุน เพราะนี่เป็น ‘โอกาสสำคัญ’ ที่นักลงทุนจะเข้าทยอยสะสมหุ้นที่มีโอกาสเติบโตแต่ราคาปรับตัวลงมา

 

อย่างกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ ซึ่งผลประกอบการมักจะไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ และยังมีโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในปัจจุบันและอนาคต  เช่น กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต ธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ เป็นต้น

 

โดยกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตไปกับการดำเนินชีวิตของคนที่พึ่งพาเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายและภาคธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจ

 

ซึ่งถ้ามองผ่านวิกฤตต่างๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555 - 2565) จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นสูงถึง 18.56% ต่อปี (วัดจากดัชนี MSCI World Information Technology Index) และ

 

ด้วยผลตอบแทนในระดับนี้จะทำให้เงินลงทุนมีโอกาสเติบโตเป็น 2 เท่า ใน 4 – 5 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่แนะนำ ได้แก่ Metaverse , Cloud Computing และ Cyber Security โดยคาดว่าทั้งสามธุรกิจมีโอกาสเติบโตเฉลี่ยสูงถึงราว 26% , 15.7% และ 13.7% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ที่มา: PWC , Research and Markets)

 

สำหรับความกังวลเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกดดันหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้น ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมารับความกังวลเรื่องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวของ Fed ไปอยู่ที่ 3.2% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับใกล้ถึงจุดสูงสุดที่นักลงทุนคาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะไปสูงสุดอยู่ที่ 3.25% ทำให้แรงกดดันหุ้นกลุ่มเติบโตอาจไม่ได้มีมากไปกว่านี้

 

ด้านกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเติบโตไปกับการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ของโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเติบโตตามไปด้วย และยังมีอำนาจต่อรองสูงในการกำหนดราคาของค่ารักษาด้วย

 

เหตุนี้เองจึงทำให้ธุรกิจธุรกิจด้าน Health Care ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555 - 2565) ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 13.85% ต่อปี  โดยธุรกิจ Health Care ที่กำลังเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็คือกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ ไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) และ ดิจิทัลเฮลธ์แคร์ (Digital Healthcare) ระบุว่าทั้งสองธุรกิจมีโอกาสเติบโต 12.2% และ 27.7% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ที่มา : statista , Grand View Research)

“ข้อมูลจาก StartUp Health Insight พบว่า ในปี 2564 แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงซบเซา แต่กลับพบว่าเป็นปีทองของเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยมีการทุ่มงบประมาณไปเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางแพทย์ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นกว่า 20 เท่าหากเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

 

อีกทั้ง ในแง่ของการใช้จ่ายเพื่อเข้าถึงบริการด้านเฮลธ์แคร์ พบว่า ศูนย์บริการเมดิแคร์และเมดิเคด (Centers for Medicare & Medicaid Services) ของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าสัดส่วนการใช้จ่ายทางด้านเฮลธ์แคร์ของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 19.6% ของ GDP ไปจนถึงปี 2573 และ

 

คาดว่าในปี 2571 การใช้จ่ายทางด้านเฮลธ์แคร์จะมีมูลค่าสูงถึง 6.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าแม้สถานการณ์รอบด้านจะเลวร้ายเพียงใดก็ไม่ได้ทำให้ความสำคัญของกลุ่มเฮลธ์แคร์ลดลง และคาดว่าในอนาคตกลุ่มเฮลธ์แคร์จะยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งอีกด้วย” นายณัฐกฤติกล่าว