ถือโอกาสวันแห่งความรัก 14 ก.พ. ยื่นหมื่นชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.กัญชา ต่อรัฐสภา

12 ก.พ. 2567 | 11:18 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.พ. 2567 | 11:47 น.

“เครือข่ายกัญชา”ใช้โอกาสวันแห่งความรัก 14 ก.พ. 2567 ยื่น 10,000 รายชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.กัญชา ต่อรัฐสภา เผยทางเครือข่ายฯ ยังต้องการรายชื่อเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวเชิญชวนประชาชนร่วมยื่น 10,000 รายชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.กัญชาควบคุมกัญชากัญชง ต่อรัฐสภา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00 น. ณ อาคารรัฐสภา  

โดยระบุว่า ทางเครือข่ายฯ ยังต้องการเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง เพราะอาจจะมีบางรายชื่อที่อาจจะเกิดความผิดพลาดในการเขียน หรือ สิทธิในการร่วมเสนอกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอว่าควรจะต้องมีสำรองไว้เผื่อความผิดพลาด ฉะนั้นทุกท่านที่กำลังช่วยกันทำรายชื่อยังสามารถส่งมาได้อย่างต่อเนื่องจนกว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจเซ็คจนครบจำนวน

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า ตนขอใช้โอกาสวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เชิญชวนทุกท่านร่วมเสนอรายชื่อ เพื่อทำให้ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เพื่อก้าวสู่ขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป

                   ถือโอกาสวันแห่งความรัก 14 ก.พ. ยื่นหมื่นชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.กัญชา ต่อรัฐสภา

โดยความมุ่งหวังว่า การมีกฎหมายแม่บทเพื่อสร้างกลไกเชิงระบบให้สามารถนำข้อดีของกัญชามาใช้ และสามารถควบคุมข้อเสีย มิให้เกิดแก่ประชาชนและบุคคลที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน อีกทั้งร่างกฎหมายของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ยังมุ่งหวังให้กัญชาเป็นความมั่นคงทางยาของประชาชน โดยการปลูกและการใช้กัญชาทางยาเป็นสิทธิพื้นฐานของครัวเรือน

“การดำเนินการเกี่ยวกับกัญชา ทั้งการปลูก การแปรรูป การขาย จะต้องกระทำผ่านใบอนุญาต รวมทั้งมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ไม่น้อยไปกว่าการควบคุมเครืองดื่มแอลกออฮอล์และบุหรี่ การเสนอร่างกฎหมายของประชาชน คือเสียงสำคัญในการร่วมกำหนดมาตรการในร่าง พ.ร.บ.แต่ละมาตราในขั้นกรรมาธิการ ซึ่งจะเป็นการนำร่างกฎหมายทุกฉบับที่ผ่านวาระ 1 ในสภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อทำให้เหลือร่างกฎหมายฉบับเดียว เพื่อเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป” 

                     ถือโอกาสวันแห่งความรัก 14 ก.พ. ยื่นหมื่นชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.กัญชา ต่อรัฐสภา

เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวด้วยว่า กฎหมายกัญชาอยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งต้องอาศัยกำลังสติปัญญาของเครือข่ายประชาชนในการกำกับให้หน่วยงานรัฐ และ นักการเมือง ใช้ข้อเท็จจริงในการกำหนดมาตรการ ไม่ใช้ความต้องการทางการเมือง และกระแสมาเป็นเงื่อนไขในการกำหนดมาตรการ 

เพราะจะทำให้มาตรการเหล่านั้นไม่สามารถปฏิบัติจริงได้และอาจย้อนกลับมาทำร้ายประชาชนหรือนักปลูกตัวเล็กได้ในอนาคตจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนโดยรวมที่ต้องช่วยกันจับตาดู