"ไอทีวี" ชนะคดี สปน.บอกเลิกสัญญา ไม่ต้องจ่ายหนี้ 2.8 พันล้าน

25 ม.ค. 2567 | 14:17 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ม.ค. 2567 | 14:29 น.

ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ไอทีวีชนะ คดีข้อพิพาท สำนักงานปลัดสำนักนายกฯบอกเลิกสัญญาระบบ UHF ชี้ไม่ต้องจ่าย 2.8 พันล้านบาท

วันที่ 25 มกราคม 2567 ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 620/2559 คดีหมายเลขแดงที่ 1948/2563 ระหว่าง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ร้อง) กับ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (ผู้คัดค้าน) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

(คดีนี้ผู้ร้อง ร้องว่า คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 46/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 1/2559 ลงวันที่ 14 มกราคม 2559 กรณีวินิจฉัยว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างไม่มีหนี้ ที่จะต้องชำระแก่กันตามสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2538 ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า เป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ไม่เป็นไปตามข้อสัญญาและเกินขอบเขต แห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการ เป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล)

คดีนี้ ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีข้อโต้แย้งหรือมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้าน อันเกี่ยวเนื่องกับสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยู เอช เอฟ จึงเป็นการดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ตามที่ผู้ร้องและ ผู้คัดค้านได้ตกลงกันไว้ในสัญญาอนุญาโตตุลาการซึ่งระบุไว้ในสัญญา แม้ข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องผู้คัดค้านต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 640/2550


ซึ่งศาลปกครองได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เพื่อให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านไปดำเนินการ ทางอนุญาโตตุลาการแล้ว และผู้คัดค้านได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทขอให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิเรียกค่าตอบแทนขั้นต่ำพร้อมดอกเบี้ย และค่าปรับ และไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามูลค่าทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านส่งมอบให้แก่ผู้ร้องน้อยกว่าที่กำหนด ซึ่งเป็นคู่กรณีคนละฝ่าย ไม่ใช่คู่กรณีฝ่ายเดียวกันยื่นคำเสนอข้อพิพาทหรือข้อเรียกร้องในเรื่องเดียวกัน

และการเสนอข้อพิพาททั้งสองเรื่องดังกล่าวข้างต้น เป็นการเสนอข้อพิพาทต่อองค์กรชี้ขาดคนละองค์กร จึงไม่เข้าลักษณะเป็นของการเสนอข้อพิพาทซ้อน และสัญญาอนุญาโตตุลาการตามที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านได้ตกลงกันให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจึงอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ

ส่วนกรณีที่ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 46/2550 ซึ่งเป็นข้อพิพาทในเรื่องเดียวกันกับข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 1/2550 และยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ นั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้คณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 1/2550 ต่อไป ข้อพิพาทตามคำเสนอข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้นจึงไม่อาจยุติหรือระงับข้อพิพาททางอนุญาโตตุลาการ

ต่อมา ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการหมายเลขดำที่ 46/2550 ว่าผู้ร้องผิดสัญญาเข้าร่วมงานฯ โดยบอกเลิกสัญญาขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาเข้าร่วมงาน

ผู้คัดค้านจึงยื่นคำเสนอข้อพิพาท และมูลพิพาทอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างเกิดจากที่ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานฯ โดยไม่มีสิทธิหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเสนอข้อพิพาทคนละเรื่องกับข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 1/2550 คำเสนอข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 46/2550 จึงไม่เป็นคำเสนอข้อพิพาทซ้อนกับคำเสนอข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 1/2550 คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 46/2550 หมายเลขแดงที่ 1/2559 จึงเป็นคำชี้ขาดที่ชอบด้วยกฎหมาย และกรณีไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวได้ ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545

ขณะที่บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ออกหนังสือชี้แจงผู้ถือหุ้น ระบุว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดกรณีข้อพิพาทระหว่างบริษัท และสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กรณีที่ไอทีวีได้ยื่นข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เพื่อให้พิจารณาว่าการบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ UHF (สัญญาเข้าร่วมงาน) ในวันที่ 7 มีนาคม 2550 ของ สปน. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น

โดยหนังสือถึงผู้ถือหุ้น ลงวันที่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 ระบุเรื่องศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่ได้พิพากษายกคำร้องของ สปน. ด้วยเหตุว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งมีผลให้คดีนี้ถึงที่สุด โดยบริษัทและ สปน. ต่างไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกันอีกรวมจำนวนทั้งสิ้น 2,890,345,205.48 บาท (สองพันแปดร้อยเก้าสิบล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันสองร้อยห้าบาทสี่สิบแปดสตางค์)

ทั้งนี้ จากผลของคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท ไม่มีหนี้ที่ต้องชำระ หรือภาระหน้าที่ หรือความรับผิดตามสัญญาเข้าร่วมงาน หรือภาระผูกพันใด ๆ กับ สปน. อีกต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาทิศทางของไอทีวีต่อไป