รายงานพิเศษ : เปิดเส้นทาง"บิ๊กโจ๊ก"เจอดิสเครดิตสกัดดาวรุ่งชิง ผบ.ตร.

25 ก.ย. 2566 | 15:10 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ย. 2566 | 15:29 น.
759

เปิดเส้นทาง "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หลังถูกบุกค้นบ้าน โดยอ้างพบคนใกล้ชิดพัวพันเว็บพนันออนไลน์ จน“เจ้าตัว”ออกมาโวยว่าถูกกลั่นแกล้ง ทำเสียเครดิต ก่อนที่จะมีประชุม ก.ตร. เคาะ ผบ.ตร.คนใหม่ เพียง 3 วัน

เช้าวันที่ 25 ก.ย. 2566 ตำรวจชุดเฉพาะกิจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เปิดปฏิบัติการ “บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ กวาดล้างบ้านตัวเอง” โดยนำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมตำรวจและพลเรือนที่เชื่อมโยงกับการแก๊งพนันออนไลน์ รวม 30 จุดใน 6 จังหวัดทั่วประเทศ 

ในส่วนของกรุงเทพมหานคร(กทม.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช. สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) พร้อมด้วยกำลังตำรวจไซเบอร์ ได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพักของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายในหมู่บ้าน ซอยวิภาวดี 60 ซึ่งอยู่ด้านหลังสโมสรตำรวจ หลังพบคนใกล้ชิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์
ผลการตรวจค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือ ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

“การขอหมายค้นจากศาลของตำรวจเมื่อเช้าที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และเชื่อว่าการขอหมายศาลในครั้งนี้ไม่ปกติ เพราะเป็นการหลอกศาล เนื่องจากการขอหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะต้องมีพยานหลักฐาน หรือ มีเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงมาถึงตัว และเชื่อว่าตำรวจชุดสอบสวนรู้ว่า บ้านหลังนี้เป็นของใคร แต่ว่าการขอหมายค้นครั้งนี้ไม่ได้ระบุว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ รอง ผบ.ตร. แต่บอกเพียงแค่บ้านเลขที่เท่านั้น จึงเชื่อว่า การกระทำครั้งนี้ เป็นการดิสเครดิต ทำให้เสียชื่อเสียง และเป็นการเมืองภายในของตำรวจ ซึ่งส่วนตัวรู้ว่าใครเป็นผู้สั่งการ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ

                        รายงานพิเศษ : เปิดเส้นทาง\"บิ๊กโจ๊ก\"เจอดิสเครดิตสกัดดาวรุ่งชิง ผบ.ตร.

ปฏิบัติการบุกค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพียง 3 วัน คือ วันที่ 27 ก.ย. 2566 ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็น 1 ใน 4 แคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.คนที่ 14  
 

ประวัติ"บิ๊กโจ๊ก"

สำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกิดที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2513 ปัจจุบันอายุ 53 ปี  เป็นบุตรของ นายดาบตำรวจ ไสว และ นางสุมิตรา หักพาล สมรสกับ ดร.ศิรินัดดา (สกุลเดิม พานิชพงษ์) 

สำเร็จการศึกษาในชั้นอนุบาล โรงเรียนกลับเพชรศึกษา ซึ่งมารดาเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนนี้ สำเร็จการศึกษาในชั้นประถม โรงเรียนวิเชียรชม สำเร็จการศึกษาในชั้น มัธยมศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ และโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 

ระดับชั้นปริญญาตรี : รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 47 เป็นหัวหน้านักเรียนของนรต.รุ่น47

ระดับปริญญาโท :  สังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนได้เป็นอันดับ 1 

ระดับปริญญาเอก : ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย  
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล 

ปัจจุบันกำลังศึกษา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคค่ำ (นอกเวลาราชการ) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน                          

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังจบหลักสูตร และ รับมอบประกาศเกียรติบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 21 (ปปร.21) จาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2565 ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสถาบันพระปกเกล้า จาก นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ปัจจุบันกำลังศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร ว.ป.อ.ปีการศึกษา 2565

นอกจากนี้ "บิ๊กโจ๊ก" ยังมีบทบาทในตำแหน่งอื่นๆ ดังนี้ 
นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์
รองผู้อำนวยการ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

อดีตที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ.9)

อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.)

ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ทั้งเคยดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ ผู้กำกับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

                     

เส้นทางราชการตำรวจ 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มต้นรับราชการตำรวจ ยศ "ร.ต.ต." เริ่มรับราชการตำรวจในตำแหน่งรองสารวัตร เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2537 จนได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นเป็นสารวัตรในกองวินัย
ต่อมาเป็น สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2543 และสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 3 จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2545 

จนได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ เมื่อ วันที่ 11 ก.ค. 2546 และเป็นผู้ช่วยนายเวรตำรวจราชสำนักประจำให้กับ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2547

ระดับผู้กำกับการ

หลังจากได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พันตำรวจเอก พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น ได้รับตำแหน่งผู้กำกับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่อำนวยการประจำผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งวันที่ 7 ก.ย. 2552 จึงได้เป็นผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์

ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2554 ได้เป็น ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 10 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล 

ในวันที่ 5 เม.ย. 2555 ถูกส่งไปเป็น ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จนได้เลื่อนขึ้นเป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการณ์ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้า รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเสี่ยงต่อภัยความไม่สงบบริเวณชายแดนภาคใต้

ระดับผู้บังคับการและผู้บัญชาการ

ต่อมาวันที่ 23 ก.ค.2558 พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พลตำรวจตรี ในตำแหน่ง ผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานกับนายกรัฐมนตรี รายงานต่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากนั้นทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557

จนในวันที่ 30 ต.ค. 2558 ได้เป็น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว กระทั่งวันที่ 1 ต.ค. 2559 ได้เป็น ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ก่อนที่วันที่ 6 ก.ย. 2560 เข้าทำหน้าที่ รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จนได้เป็น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ในวันที่ 1 ต.ค. 2560 
ต่อมาวันที่ 1 ต.ค. 2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พลตำรวจโท และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

กระทั้งวันที่ 5 เม.ย.2562 ได้มีคำสั่งจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย

วันที่ 9 เม.ย. 2562 มีคำสั่งฟ้าผ่าที่สอง จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ให้ บิ๊กโจ๊ก ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และถูกเพิ่มรายชื่อในบัญชีเพื่อได้รับการตรวจสอบจาก ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องด้วยมีมูล ถูกกล่าวหา เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือ ประพฤติมิชอบ

วันที่ 6 ม.ค. 2563 รถยนต์ส่วนตัวของบิ๊กโจ๊ก ถูกยิง สื่อหลายแห่งตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการที่บิ๊กโจ๊ก ออกมาเปิดโปงการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ครั้งนั้น มีคลิปเสียงหลุด ที่อ้างว่า เป็น พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สั่งยิง จนถูกสำรองราชการ 

หลังจากนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ได้ลากิจไปบวชที่อินเดียเป็นเวลา 9 วัน และกลับมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในชีวิตข้าราชการพลเรือนไปถึง 2 ปีเต็ม ท่ามกลางกระแสข่าวเขาพยายามทุกวิถีทางจะโอนกลับไปรับราชการตำรวจอีกครั้งให้ได้ เพราะอายุราชการยังยาวไกลไปถึงปี 2574

                             

 

ถัดมาในปี 2564 บิ๊กโจ๊ก กลับมาผงาดอีกครั้ง เลื่อนจาก ที่ปรึกษา (สบ 9) สตช. ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ถือเป็นตำรวจอีกหนึ่งนาย ที่ขยับขึ้นเป็นระดับนายพลในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะขยับเป็น รอง ผบ.ตร. เพราะการเลื่อนเป็นไปตามลำดับอาวุโส โดยในปี 2565 ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลงถึง 4 ตำแหน่ง จึงมีชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อยู่ด้วย

“บิ๊กโจ๊ก” เริ่มกลับมาทำผลงานในหลายคดี และด้วยบุคลิกเวลาแถลงข่าว หรือสัมภาษณ์ จะเป็นไปแบบนุ่มนวล เขาจึงได้รับฉายาจากสื่อว่า “โจ๊กหวานเจี๊ยบ”  

                               รายงานพิเศษ : เปิดเส้นทาง\"บิ๊กโจ๊ก\"เจอดิสเครดิตสกัดดาวรุ่งชิง ผบ.ตร.

การเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในวันที่ 30 ก.ย. 2566 นี้ “บิ๊กโจ๊ก” มีชื่อเป็น 1 ใน 4 แคนดิเดตที่จะมีโอกาสขึ้นเป็น “ผบ.ตร.คนที่ 14” 

บิ๊กโจ๊ก จึงเริ่มขยับทำผลงานอีกครั้ง โดยเฉพาะคดี “กำนันนก” สั่งยิง “ตำรวจทางหลวง” ที่ออกตัวทำคดีอย่างเต็มตัว แต่สุดท้ายฟ้าผ่าอีกครั้ง เมื่อ ผบ.ตร.มีคำสั่งให้โอนคดี “กำนันนก” ไปให้กองปราบรับช่วงต่อแทน

ก่อนที่ฟ้าจะผ่าเปรี้ยงใหญ่อีกครั้ง กับปฏิบัติการถูกบุกค้นบ้านช่วงฟ้าสางในวันที่ 25 ก.ย. 2566 โดยอ้างตำรวจใกล้ชิดพัวพันเว็บพนันออนไลน์ ในช่วงใกล้ก่อนจะมีการคแต่งตั้ง “ผบ.ตร. คนที่ 14” เพียง 3 วัน

เหตุการณ์ดูเหมือนจะเป็นการ “สกัดดาวรุ่ง” หรือไม่ 

เพราะหากไล่เรียงลำดับอาวุโสแล้ว “บิ๊กโจ๊ก” ยังมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพสีกากีได้อีกหลายปี ถึงปีนี้ไม่ได้เป็น ปีหน้า หรือ ปีต่อๆ ไป ก็ยังมีโอกาสได้ลุ้นขึ้นเป็น เบอร์ 1 คุมทัพสีกากี

เว้นเสียแต่ว่า เจอ "สกัดดาวรุ่ง" ถูกดำเนินคดี ถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือ ถูกโอนย้ายพ้นราชการตำรวจ นั่นแหละ ถึงจะทำให้ "บิ๊กโจ๊ก" หมดสิทธิผงาดในตำแหน่ง ผบ.ตร.