ศาลปกครองกลางฟันธง “สาธิต รังคสิริ” ต้องชดใช้ 854 ล้าน ให้กรมสรรพากร

31 พ.ค. 2566 | 17:32 น.
อัปเดตล่าสุด :31 พ.ค. 2566 | 17:39 น.
3.5 k

ศาลปกครองกลางชี้คำสั่งกรมสรรพากรให้ “สาธิต รังคสิริ” อดีตอธิบดีชดใช้ 854 ล้าน เหตุร่วมทุจริตอนุมัติคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 พันล้านชอบด้วยกฎหมายแล้ว สั่งยกฟ้อง


วันนี้ (31 พ.ค.66) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร และอธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 -2 กรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรที่ 650/2560 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2560 ที่ให้ นายสาธิต ชดใช้เงินจำนวน  854,943,021.65 บาท จากเหตุร่วมกับ นาย ศ. อดีตสรรพากรพื้นที่ 22 กรุงเทพมหานคร ทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกว่า 3,000 ล้านบาท เหตุเกิดช่วงปี 2555-2556 

โดยศาลเห็นว่า ข้อโต้แย้งของ นายสาธิต ในหลายประเด็นไม่อาจรับฟังได้  ทั้งการอ้างว่า ตนไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัติคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำสั่งพิพาทไม่ชอบเพราะเหตุอายุความในการออกคำสั่ง ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้กำกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดให้ทำการสอบจนยุติในทุกประเด็น และไม่ได้เปิดเผยสำนวนการสอบข้อเท็จจริงจึงไม่เป็นไปตามรูปแบบขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น


ส่วนการทำละเมิดของ นายสาธิต ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับกรมสรรพากรหรือไม่ ศาลเห็นว่า จากการไต่สวนของ ป.ป.ช.แล้ว เห็นได้ชัดแจ้งว่า มีกลุ่มบริษัทจำนวน 25 บริษัท เป็นผู้ประกอบการส่งออกเศษโลหะและแร่โลหะที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง แต่ได้ยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนาย ศ. อนุมัติให้คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทดังกล่าว 

ต่อมา เมื่อนางสาว ข. ได้มีหนังสือรายงานให้นายสาธิต รับทราบถึงความผิดปกติของการคืนภาษีของ สท.กทม.22 นายสาธิต ในฐานะอธิบดีย่อมมีอำนาจบังคับบัญชา จึงต้องตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการคืนภาษีให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย โดยให้ระงับยับยั้งการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวได้ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น 

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากถ้อยคำของพยาน และผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นาย ศ. ซึ่งให้ถ้อยคำว่า นายสาธิต ได้ฝากรายชื่อกลุ่มบริษัทที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ แม้จะเป็นการอ้างฝ่ายเดียว แต่จากพฤติการณ์ของ นายสาธิต ที่ไม่ระงับยับยั้งให้ชะลอการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่นางสาว ข. ได้เสนอความเห็นก็ดี 

การที่ นายสาธิต ได้เข้าตรวจเยี่ยม สท.กทม.22 โดยให้แนวปฏิบัติกรณีการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการรายใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องชะลอไว้เป็นเวลา 6 เดือนก็ดี และรวมถึงการที่กลุ่มบริษัทดังกล่าวได้โอนเงินจำนวน 179,869,250 บาท เพื่อเป็นค่าซื้อทองคำแท่งในชื่อของ นายสาธิต ก็ดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่า ทองคำแท่งดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ นายสาธิต ได้มาโดยชอบจากทางทำมาหาได้ทางอื่น จึงฟังได้ว่าเป็นทองคำแท่งที่ได้รับมาเกี่ยวโยงกับเงินของกลุ่มบริษัทดังกล่าว  

อีกทั้ง ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่า ทรัพย์สินตามรายการสั่งซื้อทองคำแท่งในชื่อของ นายสาธิต ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ  

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐาน และพฤติการณ์แห่งการกระทำของนายสาธิต จึงเชื่อได้ว่า ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้ใช้ หรือ ร่วมรู้เห็นการกระทำความผิด เพื่อให้นาย ศ. คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทที่ได้รับคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มไปโดยมิชอบทั้งสิ้น 3,206,066,331 บาท

“พฤติการณ์ของ นายสาธิต ที่เป็นผู้ใช้ หรือ ร่วมรู้เห็นการกระทำความผิดดังกล่าว เพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์เป็นทองคำแท่ง ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร ที่ต้องคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กลุ่มบริษัทที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง

ถือได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และเป็นการกระทำละเมิดต่อกรมสรรพากร ด้วยความจงใจ นายสาธิต จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กรมสรรพากร ตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ”

ส่วนจะต้องชดใช้เพียงใด  เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ได้มีมติให้จัดกลุ่มผู้ที่ต้องรับผิด โดยกำหนดให้ นายสาธิต กับผู้ต้องรับผิดอีก 2 คน อยู่ในกลุ่มกระทำการไปด้วยมีเจตนาหรือจงใจทุจริต ให้ชดใช้ในอัตราร้อยละ 80 ของความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน 

จึงเป็นการกำหนดให้ นายสาธิต รับผิดโดยคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรม และให้รับผิดเฉพาะส่วนของตนตามมาตรา 8 วรรคสองและวรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ อีกทั้งมิได้กำหนดสัดส่วนความรับผิดที่สูงเกินไปกว่าที่กำหนดตามหนังสือกระทรวงการคลัง 

นอกจากนี้ ข้ออ้างต่าง ๆ ของนายสาธิต  ยังถือไม่ได้ว่าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของกรมสรรพากร หรือระบบงานส่วนรวมที่จะต้องหักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออกด้วยตามมาตรา 8 วรรคสาม แห่ง พรบ.ดังกล่าวแต่อย่างใด  

ดังนั้น กรมสรรพากรโดยอธิบดีกรมสรรพากร มีคำสั่งกรมสรรพากรให้นายสาธิต รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงินจำนวน 854,943,021บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2564 ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลางพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต นายสาธิต รังคสิริ กับพวก ร่วมทุจริตฯ อนุมัติคืนภาษี 25 บริษัทให้ริบทองเเท่งของกลางร่วมกันชดใช้ความเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท