"บิ๊กตู่"วัดชีพจรประเทศไทย ชี้เศรษฐกิจภาพรวมปี 66 คาดจะขยายตัว 3.6%

03 พ.ค. 2566 | 09:01 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ค. 2566 | 10:02 น.

"บิ๊กตู่" เผยบรรยากาศการประชุมครม.ทุกครั้งจะถกข้อมูลโลกเพื่อ “วัดชีพจร ประเทศไทย ล่าสุดมีสัญญาณบวกหลายมิติ ชี้เศรษฐกิจภาพรวมปี 66 คาดจะขยายตัว 3.6% จากภาคท่องเที่ยวและบริการ

วันที่ 3 พ.ค.66 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha”  มีข้อความดังนี้

โลกยังเต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอน เศรษฐกิจโลก และสงครามความขัดแย้ง ในมุมหนึ่งของโลก ส่งผลย้อนกลับมาสู่ปัญหาปากท้องของคนไทย-สังคมไทย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้นในการประชุม ครม.ทุกครั้ง ผมจึงได้หยิบยกข้อมูล-ข้อเท็จจริงต่างๆ มาหารือกับคณะรัฐมนตรี เหมือนการ "วัดชีพจร" ประเทศไทย เพื่อประเมินศักยภาพและหาแนวทางป้องกัน แก้ไข หรือปรับแผนการดำเนินงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยผลการประเมินผลล่าสุด มีสัญญาณบวกในหลายมิติ สรุปได้ดังนี้

1. เศรษฐกิจในภาพรวมปี 66 คาดว่าจะขยายตัว 3.6% มีปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวและบริการ, การบริโภคปรับตัวดีขึ้นทุกภูมิภาค, อัตราเงินเฟ้อลดลง อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน มี.ค.66 ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรม ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และสูงสุดในรอบ 10 ปี ในขณะที่อัตราการว่างงานต่ำกว่า 1% นับเป็นอัตราที่ต่ำที่สุด และเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี

2. ภาคเกษตรกรรมและการส่งออก
(1) การส่งออกข้าวช่วง 2 เดือนแรกของปี 66 ไทยเป็นอันดับ 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวของโลก รวมกว่า 1.4 ล้านตัน มูลค่าเพิ่มขึ้น 38.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการข้าวในตลาดโลก ในขณะที่การส่งออกทุเรียนสดไปยังประเทศจีนในปีนี้ คาดว่าไม่น้อยกว่า 700,000 ตัน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท 

(2) การส่งออกสินค้าประมง หลังจากรัฐบาลสามารถแก้ปัญหา IUU ได้สำเร็จ นานาชาติเชื่อมั่นการประมงไทย ส่งผลให้มียอดส่งออกปี 65 สูงขึ้นกว่า 2.29 แสนล้านบาท

สำหรับการส่งออกรายสินค้าอื่นๆ ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ภาพรวมปี 65 มีมูลค่า 73,603.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 25.6% ของมูลค่าส่งออกรวม

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

3. ภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนจากต่างประเทศ
(1) การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV ของรัฐบาล ส่งผลให้มียอดจดทะเบียน EV เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วง ม.ค.-มี.ค.66 นี้ มีจำนวนเพิ่มจาก 4,543 - 7,335 - 8,522 คัน ตามลำดับ ในขณะที่สำนักข่าว Nikkei ของญี่ปุ่น มองว่าไทยจะเป็นจุดหมายสำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่น - จีน - เกาหลีใต้ สำหรับฐานการผลิตชิ้นส่วนและรถยนต์ EV ซึ่งปัจจุบันกำลังพิจารณาการลงทุน และเพิ่มเติมกำลังการผลิตในไทยด้วย

(2) การลงทุนของบริษัทต่างชาติในไทย ไตรมาสแรกปี 66 มีมูลค่า 33,048 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปี 65 กว่า 25% ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ขณะที่ประมาณ 18% ของนักลงทุนทั้งหมด สนใจลงทุนในพื้นที่ EEC มีมูลค่าการลงทุน 3,264 ล้านบาท

(3) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถพัฒนาแรงงานและส่งเสริมการประกอบอาชีพ  ทำให้แรงงานมีทักษะฝีมือเพิ่มสูงขึ้น สามารถปรับตัวเท่าทันเทคโนโลยี เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศ จำนวน 5,255,833 คน ส่งผลให้มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 13,775 บาทต่อคนต่อเดือน หรือเฉลี่ย 157,890 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งในปี 66 นี้ รัฐบาลตั้งเป้าจัดส่งแรงงานโดยภาครัฐไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 11,300 คน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

4. การท่องเที่ยวและบริการ
(1) ภาคการท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ตั้งแต่ต้นปี 66 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเยือนไทยในช่วง ม.ค.-มี.ค.66 สะสมอยู่ที่ 6,465,737 คน สร้างรายได้รวม 256,194 ล้านบาท โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 25 – 30 ล้านคน เพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท

(2) การขับเคลื่อนนโยบายสร้างมูลค่าเพิ่มจาก Soft Power ทั้งสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม "5F" มีเป้าหมายหารายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 1.5 ล้านล้านบาท ในปี 65 เป็น 3.45 ล้านล้านบาท ในปี 70 หรือประมาณ 15% ของ GDP

สถิติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งประเทศไทยไม่เคยหยุดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แม้จะเกิดวิกฤตโลกกินเวลายาวนานกว่า 3 ปี เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในวันข้างหน้า

นอกจากนี้ ผมยังได้พยายามสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ตั้งแต่ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง เพื่อให้มั่นใจว่ารายได้เข้าประเทศที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ ได้กระจายไปสู่ประชาชนให้ได้มากที่สุด และในทุกภูมิภาคของประเทศอีกด้วยครับ