เผ่าภูมิ ชี้บทเรียน"หุ้น MORE" เสียหายซ้ำซาก ประเมินค่าไม่ได้

17 พ.ย. 2565 | 10:49 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ย. 2565 | 18:27 น.
659

"เผ่าภูมิ"รองเลขาฯ เพื่อไทย ชี้ "หุ้น MORE" สะท้อนช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกปิด ของตลาดหุ้นไทย เสียหายซ้ำซาก ประเมินค่าไม่ได้

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี หุ้น MORE ว่า

 

เรื่องนี้แบ่งได้ 3 ระดับ 


ต้นน้ำ คือ ความจริงของตลาดหุ้นไทยที่เต็มไปด้วยช่องโหว่และโอกาสการปั่นหุ้น กฎเกณฑ์ที่ล้าหลังไม่ทันเกม หน่วยงานกำกับที่ไม่ทันการณ์


กลางน้ำ คือ ความหละหลวมของโบรกเกอร์เรื่องหลักประกันและการปล่อยวงเงิน จนเกิดความเสียหาย 
ปลายน้ำ คือ นักลงทุนรายย่อยกลายเป็นเหยื่อ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

 

จริงอยู่ที่หัวใจของเรื่องนี้ มักถูกชี้เป้าที่ความหละหลวมของโบรกเกอร์ในเรื่องหลักประกัน และการปล่อยวงเงิน แต่เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากตลาดหุ้นไทยมีความสมบูรณ์เชิงโครงสร้าง ซึ่งความรับผิดชอบตรงนี้ก็ต้องชี้เป้าไปที่ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ 

 

ไม่อยากให้มองแค่กรณีหุ้น MORE แต่อยากให้มอง “ความซ้ำซากของปัญหาเดิมๆ” เพียงแต่ถูกเปลี่ยนรูปแบบการฉ้อฉลไปเรื่อยๆ นั่นเพราะตลาดหุ้นไทยเต็มไปด้วยช่องโหว่เชิงโครงสร้างที่ไม่เคยถูกปิด ไม่เคยถูกแก้ไข ทุกครั้งที่เจอการปั่นหุ้น หน่วยงานที่กำกับก็แก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ

 

คือ ระงับการซื้อขาย แล้วค่อยตามไปตรวจสอบ และชี้แจงว่าได้ดำเนินการทุกขั้นตอนไปตามหลักเกณฑ์แล้ว แต่หลักเกณฑ์ที่ล้าหลัง การทำตามเกณฑ์ที่ล้าหลัง และแจงว่าได้ทำตามเกณฑ์เหล่านี้แล้วและจะถอดบทเรียนเพื่อป้องกันในคราวหน้า นี่อาจไม่ใช่คำตอบที่เพียงพอที่ประชาชนต้องการ
 

 

ความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างกรณีหุ้น MORE นั้น มันไม่ใช่แค่ความเสียหายของโบรกเกอร์ อย่างที่พูดๆกัน แต่อยากชวนมองภาพใหญ่กว่า

 

นั่นคือ “ความเสียหายเชิงระบบต่อตลาดหุ้นไทย” เพราะสิ่งที่ถูกทำลายไปคือสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือต่อตลาดหลักทรัพย์ไทย” ซึ่งมีราคาสูง จนประเมินค่าไม่ได้ เสียแล้วเสียเลย กอบกู้ไม่ได้ 

 

ยังไม่นับ บทบาทในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีความซับซ้อนสูงกว่า มีความไร้ตัวกลาง ซึ่งความสามารถ และความรู้ความเข้าใจของหน่วยงานกำกับดูแลนั้น จะถูกตั้งคำถามมากขึ้นไปอีก