นักการเมืองรุ่นใหม่ ประสานเสียงเปลี่ยนประเทศต้องปรับโครงสร้าง

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา เนชั่นทีวี 22 จัดงานครบรอบ 22 ปี โดยจัดเวทีเสวนาเปิดมุมมองความคิด คนรุ่นใหม่ นำประเทศไทยเดินหน้า สู่ความแข็งแรง ภายในงาน Thailand Big Change Dinner Talk NationTV ซึ่งมีผู้แทนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ขึ้นมาเสวนากันในหลายหลายมุมมอง

 

โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบไปด้วย นายพงศ์พรหม ยามะรัตน์ รองโฆษก พรรคสร้างอนาคตไทย, ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์, น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการ อำนวยการและพัฒนา พรรคไทยสร้างไทย, ดร.ปรเมศวร์ กุมารบุญ ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา, ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการ พรรคเพื่อไทย และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล 

 

 

ทั้งนี้ นายพริษฐ์ กล่าวคนแรกว่า เปรียบเทียบประเทศไทยเหมือนเค้กก้อนหนึ่ง ประเทศนี้หรือเค้กก้อนนี้ดีขึ้นอย่างไร คิดว่ามี 3 โจทย์สำคัญคือ ทำอย่างไรให้เค้กโตขึ้น หมายถึงเศรษฐกิจขยับตัว ต้องยอมรับว่าเค้กเราโต้ช้ากว่าหลายประเทศ พึ่งพาไม่กี่อุตสาหกรรม พอมีวิกฤติมาซ้ำเติมเค้กของเรา คนตกงาน หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น SME ปิดกิจการหลายราย การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ อัดฉีดเงินแม่นยำ ตรงจุด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 

 

แต่ไปดูการจัดสรรงบประมาณปี 2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท งบพัฒนาเศรษฐกิจถูกปรับลดลง ถูกใช้กับการสร้างถนนหนทางเป็นหลัก หากรับมือความท้าทายใหม่ ต้องเพิ่มขีดการแข่งขัน ต้องปฏิรูปการศึกษา ต้องมีระบบแปรความขยันนักเรียนตอบโจทย์โลกอนาคต เรียนรู้ตลอดชีวิต

เช่นเดียวกับการปฏิรูประบบราชการ ต้องมีระบอบราชการใช้เทคโนโลยีเป็น โปร่งใส คล่องตัว ว่องไว ต้องเพิ่มสวัสดิการศึกษา เรียนฟรี อินเทอร์เน็ตฟรี การกระจายเจริญไปทุกจังหวัด สุดท้าย ประชาธิปไตยต้องเป็นเชิงระบบ ต้องมีรัฐธรรมนูญมีส่วนร่วมในการสร้าง ไม่เปิดช่องให้ ส.ว. แต่งตั้งขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ออกแบบศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกลาง องค์กรอิสระ เป็นกลาง 

 

 

ด้าน น.ต.ศิธา กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเปราะบาง ทำให้คนไทยไม่อาจทำมาหากินได้ หนี้ครัวเรือนสูง เงินเฟ้อสูง ความรู้เทคโนโลยีการสนับสนุนจากภาครัฐน้อย สิ่งที่เกิดขึ้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก คนไทย 10% ถือคอรงทรัพย์สิน 77% ของประเทศ ย่อยไปอีก คนไทย 1% ถือทรัพย์สิน 66.9% คนไม่กี่ตระกูลถือครองสินทรัพย์สูงสุดในประเทศ

 

โดยความเหลื่อมล้ำเกิดจากโครงสร้างการเมือง คือประเทศเราเป็นระบบอำนาจนิยม เป็นรัฐราชการสมบูรณ์แบบ ของเดิมเราเคยได้ยินว่านักการเมืองมีการทุจริต เป็นการทุจริตตามน้ำบ้าง เป็นการทุจริตที่หากินกับงบประมาณในกระทรวง หลังจากกฎหมายเข้มงวดขึ้น 10 ปีหลังได้ยินการทุจริตเชิงนโยบาย นักการเมืองไปทำนโยบายเอื้อกับนายทุนใหญ่ มีการจ่ายใต้โต๊ะกลับคืนมา ไม่สามารถตรวจสอบได้ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้นายทุนใหญ่ของประเทศร่ำรวยหลายเท่า  

 

ส่วนการพัฒนาการเมืองเปลี่ยนไป นักการเมืองเอาเงินไปซุกนักธุรกิจรายใหญ่ กลายเป็นว่านักธุรกิจเหล่านั้น เข้ามาเป็นเจ้าของพรรคการเมือง เป็นนายทุน เข้ามาใช้เงินจำนวนมากสนับสนุนพรรคการเมืองเดินทางไปตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ กลุ่มทุนรายใหญ่เปลี่ยนธุรกิจตัวเอง กลายเป็นธุรกิจประมูลงานของรัฐ มีความชำนาญเทคโนโลยี ชำนาญขนส่งขึ้นมา ผิดฝาผิดตัวอย่างสิ้นเชิง 

ขณะที่ นายปรเมศวร์ กล่าวว่า โลกกำลังปฏิเสธทุกอย่างจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2-3 โลกกำลังปรับตัว ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ ทวงคืนสมดุลกลับมา กำลังนำเสนอการเผชิญวิกฤติอย่างมั่นคง แสวงหาโอกาสอย่างมั่นคง โดยการบริหารธุรกิจในภาวะวิกฤติสำคัญ ชุดความคิดนี้วางยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจไทย

 

 

ส่วน นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ได้สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ไม่ได้มองแค่คริปโต แต่มองว่าสินทรัพย์ดิจิทัล จะทำเงินมหาศาลให้ไทย สร้างตลาดเงินลงทุน สร้างศูนย์กลางของภูมิภาคด้านเศรษฐกิจดิจิทัลได้ โดยพรรคเพื่อไทยพร้อมนำเสนอเปิดระดมทุนคู่ขนาน สร้างประเทศสร้างคนให้แน่น ไม่ว่าปลายทางอุตสาหกรรมใดจะเข้ามาก็ตาม

 

ด้าน นายพงศ์พรหม กล่าวว่า การเมืองใหม่ต้องมองให้ออกว่า คนคือทรัพย์สินของประเทศ ไม่ใช่แค่เด็กหนึ่งคนที่เดินอยู่ อาจเป็นคนทำบล็อกเชน หรือวิจัยดีเอ็นเอ หรือเป็นศิลปิน นี่คือทรัพย์สินของพวกเรา นโยบายพวกเรา ทำอะไรกับเขาได้ นี่คือตัวสร้างมูลค่า GDP ใหม่ เพียงแต่ต้องไม่ให้เป็นเศรษฐกิจรวมศูนย์เหมือนที่ผ่านมา

 

 

ทั้งนี้เห็นว่า ปัจจุบันเรามีปัญหาในการคิดนโยบาย เราไม่ได้ขาดนโยบาย แต่เราขาดวิธีคิดนโยบายที่ การขับเคลื่อนนวัตกรรม สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย ต้องเริ่มสร้างคนรุ่นใหม่ และร่วมกันสร้างการเมืองใหม่กับทุก ๆ คน

 

นายอิสสระ กล่าวว่า เวลาพูดถึงคำว่าเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนได้ 2 แบบ คือดีขึ้น หรือแย่ลง ปัจจุบัน GDP ไทยขึ้นอยู่กับการลงทุนต่างประเทศ แรงงาน และผลิตภาพ ขณะนี้คนเกิดน้อย กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ จะมีผลิตภาพเพิ่มได้อย่างไร

 

ส่วนการลงทุนภาครัฐ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจำเป็น งบประมาณฉบับนี้ ลงทุนมาก แต่สิ่งไม่ดีต้องตัดออกคือ งบซ่อนแอบ งบหลังกำแพง งบเงินทอนต่าง ๆ ต้องตัดออก แล้วเหลือเงินมาทำ เศรษฐกิจ การเกษตร ท่องเที่ยว SMEs ที่ได้ต้องรับการพัฒนา