ซูเปอร์โพล เผยปชช.เครียด รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย แนะวางแผนการเงินหลังเกษียณ

03 ธ.ค. 2564 | 12:15 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ธ.ค. 2564 | 19:22 น.

ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจสถานะทางการเงินของประชาชนในภาวะวิกฤต พบประชาชน ส่วนใหญ่เครียด เหตุรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย ส่งผลเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิต ประสิทธิภาพการทำงานลดลง แนะผู้สูงวัยวางแผนการเงินหลังเกษียณ

วันที่ 3 ธ.ค. 2564 นายวศิน วัฒนวรกิจกุล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เพื่อรับทราบถึงความคิดเห็นของประชาชนเรื่องการเงินในภาวะวิกฤต และนำข้อมูลไปใช้ในการสนับสนุนการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนเห็นคุณค่าของคำปรึกษาจากนักวางแผนการเงิน CFP ที่มีความเป็นมืออาชีพที่จะช่วยแนะนำเรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคลได้อย่างเหมาะสม 

 

การสำรวจครั้งนี้มีจำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 1,205 ตัวอย่าง โดยเป็นการวิจัยทั้งเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 2 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา พบว่า

    

ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 พบว่าร้อยละ 30.9 และร้อยละ 6.5 ระบุว่ามีความมั่นคงทางการเงินในระดับมาก และมากที่สุดตามลำดับ ซึ่งมีถึงร้อยละ 60 ที่ระบุว่านับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด 19 จนถึงปัจจุบัน ได้รับผลกระทบทางการเงินในระดับมากถึงมากที่สุด โดยมีเพียงประมาณร้อยละ 14.9 และร้อยละ 2.5 เท่านั้น ที่เชื่อว่าหลังวิกฤตโควิด 19 ฐานะการเงินจะกลับมามั่นคงในระดับที่มาก และมากที่สุดตามลำดับ

เมื่อถามถึงปัจจุบันหรือในอดีต ความเครียดเรื่องการเงินเกิดจากสาเหตุใด พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.5 ระบุ สาเหตุเกิดจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รองลงมาร้อยละ 45.8 ระบุ สาเหตุเกิดจากค่าเช่า/ผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ 
  

ซูเปอร์โพล เผยปชช.เครียด รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย แนะวางแผนการเงินหลังเกษียณ

 ที่น่าพิจารณา คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.8 ระบุ ความเครียดเรื่องการเงินส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจิต รองลงมาหรือร้อยละ 24.2 ระบุ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ในขณะที่ร้อยละ 22.9 ระบุ ไม่มีปัญหาที่เกิดจากความเครียดเรื่องการเงิน
และในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 66.8 ระบุ มีรายได้ ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่ง 1 ใน 3 ของประชาชนหรือร้อยละ 26.9 ระบุ นำเงินเก็บมาใช้ รองลงมาร้อยละ 24.1 ระบุนำสิ่งของไปจำนำ หรือจำนอง 
 

เมื่อถามถึงความสนใจเรื่องการวางแผนการเงิน พบว่า ร้อยละ 40.4 ระบุ สนใจมากถึงมากที่สุด สัดส่วนรองลงมา คือเกินกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 38.4 ระบุว่า มีความสนใจเรื่องการวางแผนการเงินปานกลาง และเมื่อถามถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องการเงินที่ต้องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ซึ่งอาจนำมาสู่กระบวนการการเรียนรู้ และปรับตัวเพื่อรองรับกับปัญหา หรือความไม่แน่นอนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต พบว่าพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงมากที่สุด 3 ลำดับแรกคือ “เก็บออมเงินให้มากกว่าเดิม” “ใช้เงินไม่ประมาท/วางแผนการเงินให้รอบคอบ” และ “ประหยัดค่าใช้จ่าย”

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลการสำรวจครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่ตกอยู่ในภาวะความเครียดจากปัญหาทางการเงินเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยกว่าครึ่ง ระบุว่า มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย แต่ที่น่าสนใจ คือ เมื่อถามถึงความสนใจเรื่องการวางแผนการเงิน พบว่าประชาชนยังมีความสนใจเรื่องการวางแผนการเงินในระดับมาก ถึงมากที่สุด จึงมีข้อแนะนำว่า ควรมีการให้คำแนะนำ เรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคลแก่ประชาชน เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือภาวะที่ขาดรายได้ที่อาจเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต 


นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า ความรู้ทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกระดับการศึกษา และทุกระดับรายได้ ทุกภาคส่วนควรเร่งเสริมสร้างองค์ความรู้เรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคลแก่ประชาชนและผลักดันให้เกิดการลงมือวางแผนการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมผู้สูงอายุ การวางแผนการเงินเพื่อพึ่งพาตนเองได้ในวัยเกษียณจึงเป็นสิ่งจำเป็น สมาคมนักวางแผนการเงินไทยมุ่งมั่นส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของการวางแผนการเงิน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้บุคคลมีความพร้อมทางด้านการเงินและสามารถบริหารจัดการด้านเงินได้อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งนักวางแผนการเงิน CFP ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคลเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว