“หญิงหน่อย”ชูการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อต่อยอดพัฒนาประเทศ  

12 ก.ย. 2564 | 18:57 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2564 | 02:04 น.

“หญิงหน่อย”แนะสนับสนุนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำพาประเทศ หากไม่สนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อแสวงหาฐานรายได้ใหม่ ไทยจะสูญเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่

วันนี้(12 ก.ย.64) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ พัฒนาประเทศ ผ่านมุมมองวิทยาศาสตร์นำประเทศ หากไม่สนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อแสวงหาฐานรายได้ใหม่ ไทยจะสูญเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ ระบุว่า

 

หน่อยได้มีโอกาสร่วมพูดคุยใน Clubhouse ในหัวข้อ ‘วิทยาศาสตร์นำประเทศ’ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยตัวอย่างของการบริหารประเทศในรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ได้ตัดสินใจภายใต้ข้อมูลตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ และการระบาดวิทยา เพื่อใช้ควบคุมโรคโควิด จึงทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

นอกจากนี้ ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ในยุคที่โควิดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเปลี่ยนแปลงฐานรายได้ และวิถีชีวิตประจำวันของสังคม การ Disruption จึงเป็นทั้งโอกาส และวิกฤติของประเทศชาติ ซึ่งหากปรับตัวไม่ได้จะเป็นวิกฤติอย่างมหันต์ แต่จะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ หากสามารถมีความเข้าใจ และปรับตัวได้ทัน

 

“กว่า 40 ปีแล้ว ที่ไทยเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรม แต่กลับไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง เป็นเพียงฐานอุตสาหกรรม OEM รับจ้างผลิตจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าตกยุคไปแล้วสำหรับปัจจุบัน ดังนั้นวิสัยทัศน์จึงจำเป็นที่จะต้องมีความยืดหยุ่น มีความรวดเร็ว และปรับตัวให้ทันต่อวิทยาการเทคโนโลยีได้ตลอดเวลา เพื่อแสวงหาฐานรายได้ใหม่ โดยการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ ในการพัฒนาประเทศชาติ

                            “หญิงหน่อย”ชูการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อต่อยอดพัฒนาประเทศ  

ที่ผ่านมาของทุกรัฐบาล ยังไม่เห็นนโยบายที่ชัดเจน ในการนำวิทยาศาสตร์แบบการค้นคว้าวิจัย (Pure science) และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied science) หรือการนำการวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ เป็นเพียงการค้นคว้าวิจัย เพื่อเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น อีกทั้งการสนับสนุนงบประมาณในด้านวิทยาศาสตร์ของไทยมีน้อยมาก ซึ่งสำหรับปัจจุบันหากไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง จะทำให้สูญเสียโอกาสมากกว่าในอดีต” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

หน่อยขอย้ำว่า หน่อยให้ความสำคัญกับการศึกษา และการวิจัย และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งเสริมผลการวิจัยสมุนไพรไทย โดยนำมาต่อยอดทำเป็นเครื่องสำอางให้เกิดความน่าเชื่อถือ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทำให้องค์การเภสัชมีรายได้กว่า 400 ล้านต่อปี และทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคม ต่อเนื่องเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ก็ให้ความสำคัญกับนำผลการวิจัยมาใช้แก้ไขปัญหาการจราจร

 

โดยเสนอแนวทางการส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่า จะต้องมีการสนับสนุนงบประมาณ และการสร้างศูนย์บ่มเพาะการพัฒนา (incubator center) ควบคู่ไปกับการใช้ข้อมูล big data มาวิเคราะห์ เพื่อเกิดการทดลอง และการต่อยอดนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ