“กนก”ชำแหละสถิติป่วย โควิด-19 ทะยานสูงหลังสงกรานต์ พันธุ์อินเดียพุ่ง 70%

04 ก.ค. 2564 | 15:17 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ค. 2564 | 22:32 น.

“ดร.กนก”ชำแหละสถิติผู้ป่วย "โควิด-19" ทะยานสูงหลังสงกรานต์ แนะเตรียม “เครื่องช่วยหายใจ-ออกซิเจน-ยา-วางระบบติดตามผู้ป่วย” รับมือสถานการณ์เลวร้ายสุดส.ค. ห่วงสายพันธุ์อินเดียระบาดหนัก กทม.กระโดดจาก 5% เป็น 70 %

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ตัวเลขจำนวนการติดเชื้อรายใหม่ "โควิด-19" ในแต่ละเดือน ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ศบค.รายงาน เมื่อนำมาเรียงกันจะให้ความหมายสำคัญ  ดังนี้ 

 

31 มกราคม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ = 829 คน

 

28 กุมภาพันธ์ = 70 คน

 

31 มีนาคม = 42 คน

 

30 เมษายน = 1,583 คน

 

31 พฤษภาคม = 5,485 คน

 

และ 30 มิถุนายน = 4,786 คน 

 

สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง  คือ 

 

1. ช่วงมกราคม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ = 829 คน จนถึง 31 มีนาคม คือ สถานการณ์สมุทรสงคราม ที่ทำให้ตัวเลขสูง 
2. ช่วงเมษายน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ = 1,583 คน คือ ช่วงประชาชนกลับบ้านต่างจังหวัด ในเทศกาลสงกรานต์ 

 

และ 3. ช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ = 5,485/4,786 คน  

 

คือ ช่วงเกิดคลัสเตอร์เรือนจำ, ตลาดสด, ชุมชน, แคมป์คนงานก่อสร้าง และแหล่งชุมชนต่าง ๆ 

 

แสดงให้เห็นแบบแผนของปัญหาการแพร่ระบาด 2 รูปแบบ คือ 

 

แบบแผนที่ 1 เป็นการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสในกลุ่มคน ที่อยู่ใกล้ชิดกันและไม่สามารถควบคุมได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงเป็นช่วง ๆ เป็นผลจากการระดมมาตรการแก้ไขที่ใส่ลงไปในพื้นที่แพร่ระบาดเป็นสำคัญ 

 

แบบแผนที่ 2 เป็นการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส  จากการเคลื่อนที่ของคนติดเชื้อไวรัสและกระจายไปสู่บุคคลอื่น ๆ ในพื้นที่ที่เดินทางไป 

 

จากตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 แบบแผนนี้ ชี้ถึงปัญหาการควบคุมการแพร่ กระจายของเชื้อไวรัสตามหลักทางระบาดวิทยา

สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานี้ น่าจะมีเหตุผลหลายประการประกอบกัน 

 

ประการแรก คือ ความไม่รู้ของผู้รับผิดชอบ รวมถึงการไม่รู้ข้อมูลจริงและการไม่มีความรู้  

 

ประการที่สอง คือ การไม่สามารถบริหารสั่งการให้เกิดการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ ในระดับปฏิบัติการ 

 

และ ประการที่สาม คือ การไม่เอาใจใส่ของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในระดับปฏิบัติที่จะเฝ้าระวังปัญหาการแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด 

 

ศ.กร.กนก กล่าวด้วยว่า ประเด็นปัญหาที่มีการส่งเสียงเตือนออกมาแล้ว คือ การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ที่สามารถติดได้ง่าย กระจายตัวรวดเร็ว มีอาการรุนแรง และวัคซีนที่ฉีดคือ Sinovac มีความสามารถในการป้องกันสายพันธุ์นี้ได้ต่ำ 

 

 

ตัวเลขการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  พบว่าในกรุงเทพมหานคร(กทม.) ช่วงต้นเดือนจนถึงปลายเดือนมิถุนายน พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าจาก 5% เป็น 70% ของผู้ติดเชื้อไวรัสทั้งหมด แนวโน้มของจำนวนติดเชื้อเพิ่มสูงถึง 6,087 คน (2 ก.ค.) และจำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้นเป็น 61 ราย 

 

ตัวเลขจำนวนคนติดเชื้อไวรัสรายใหม่ และจำนวนคนเสียชีวิตรายวันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ ส่งสัญญาณเตือนให้เตรียมการ 4 เรื่องสำคัญ คือ 

 

1.การเตรียมจำนวนเครื่องช่วยหายใจ

 

2.การสำรองออกซิเจน 

 

3.การเตรียมยา Favipiravia และ Tocilizumab สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก นอกเหนือจากเตียงและโรงพยาบาลสนามที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้แล้ว 

 

ถึงกระนั้นสถานการณ์การแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างรวดเร็วนี้ เตือนให้เราต้องคิดถึง 

 

4.การวางระบบติดตามอาการของผู้ป่วย  ที่ต้องอยู่ที่บ้าน เพราะจำนวนเตียงในโรงพยาบาลทุกประเภทไม่เพียงพอ ระบบการติดตามอาการของผู้ป่วย ที่จำเป็น เช่น เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วด้วยตนเอง, การเตรียมอุปกรณ์และออกซิเจนสำหรับใช้ที่บ้าน  จนถึงการรายงานข้อมูลอาการผู้ป่วยที่บ้านกับแพทย์ที่ศูนย์แพทย์ใกล้บ้านตลอด 24 ชั่วโมง  

 

“ความพร้อม 4 เรื่องนี้ มีเวลาเตรียมการประมาณ 1 เดือน เพราะคาดการณ์ว่าเดือนสิงหาคม สถานการณ์การแพร่ระบาดและจำนวนผู้ป่วยจะถึงจุดสูงอย่างไม่เคยพบมาก่อนในประเทศไทย ผมหวังว่าเสียงเตือนด้วยความห่วงใยนี้จะถึงผู้รับผิดชอบในกระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. และนำไปสู่การเตรียมการล่วงหน้า เพื่อบริหารจัดการจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยพบมาก่อน ในอนาคตอันใกล้นี้ "ศ.ดร.กนก ระบุ