ถึงมือผู้ตรวจการแผ่นดิน-ป.ป.ช.สอบ‘รถไฟทางคู่’ ส่อฮั้วประมูลเอื้อ 5 บริษัทเอกชน

10 มิ.ย. 2564 | 13:30 น.
702

ข้อกังขาส่อฮั้วประมูล "โครงการรถไฟฟ้าทางคู่” เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของทั้ง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” และ ป.ป.ช.แล้ว

การประมูล “โครงการรถไฟฟ้าทางคู่” ของกระทรวงคมนาคม และ การรถไฟแห่งประเทศ ไทย ที่สร้างข้อกังขาไปทั่วบ้านทั่วเมือง ได้มีคนร้องเรียนนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของทั้ง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว

โดยเมื่อวันที่  7 มิ.ย.2564 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ขนานของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ใน 2 เส้นทาง รวมระยะทาง 678 กิโลเมตร วงเงินกว่า 127,605 ล้านบาท แบ่งเป็น เส้นทางสายเหนือ

ช่วงเด่นชัย-เชียงราก-เชียงของระยะทาง 232 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 72,921 ล้านบาท และ เส้นทางสายอีสาน ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร มูลค่าก่อนสร้าง  54,684 ล้านบาท  

การประมูลครั้งนี้พบพิรุธโดยมีการจัดทำ “ทีโออาร์” ในลักษณะ “ล็อกสเปก” เอื้อผู้ประกอบการรายใหญ่ 5 รายเท่านั้น ให้เข้าสู่การประมูล ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางเข้าร่วมการประมูลได้ ไม่สามารถแข่งขันให้ราคาถูกลง  ส่งผลให้รัฐเสียประโยชน์นับหมื่นล้านบาท   

หากเทียบกับการเส้นทางรถไฟในพื้นที่ภาคใต้ ในปี 2560 ที่เขียนทีโออาร์ให้ผู้ประกอบการขนาดกลางสามารถเข้าร่วมการประมูล จึงมีผู้เข้าร่วมประมูลมาก ทำให้รัฐได้ราคาถูกลง ประหยัดงบประมาณลงประมาณ 2-3 พันล้านบาท  

การที่ทีโออาร์ล็อกสเปกให้เฉพาะ 5 บริษัทใหญ่ คือกำหนดให้บริษัทที่สามารถจะเข้าร่วมประมูลงานได้ต้องผ่านงานโครงการของรัฐร้อยละ 10 หรือไม่ตํ่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ของมูลค่าโครงการ  จึงทำให้ได้ราคาประมูลใกล้เคียงกับราคากลางที่กรมบัญชีกลางกำหนด เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล จึงมายื่นเรื่องต่อ สตง.ให้ตรวจสอบการจัดทำทีโออาร์ ว่าเอื้อต่อบริษัทใดหรือไม่   

“สิ่งที่ผมได้รับรู้ข้อมูลมาก่อนหน้านี้ คือ ก่อนที่จะมีการเปิดประมูล มี “ผู้กว้างขวางในจังหวัดบุรีรัมย์” เรียกผู้ประกอบการรายใหญ่ ทั้ง 5 บริษัทไปพูดคุยกัน ตกลงกัน และก็จัดสรรปันส่วนแบ่งเค้กก่อน ในที่สุดผลประมูลออกมาทั้ง 5 บริษัท ต่าง ชนะการประมูล รวมทั้ง 5 สัญญาไปคนละสัญญา ผมคิดว่าการประมูลครั้งนี้น่าจะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ฮั้วประมูล โดยชัดเจน จึงต้องร้องต่อ สตง.ให้ตรวจสอบว่า การทำทีโออาร์ หรือการเขียนทีโออาร์ในลักษณะนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นการเฉพาะหรือไม่ ทำให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติเสียหาย” 

นายศรีสุวรรณ ยังระบุว่า หากผลการตรวจสอบพบมีความผิดตามที่ร้อง ก็จะนำไปสู่การยกเลิกประมูลและจัดทำทีโออาร์ และจัดการประมูลขึ้นใหม่ 

 

ทั้งนี้ พิรุธการประมูล 2 โครงการ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ เคยออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้แล้วว่า มี 5 บริษัท ไปตกลงกับผู้กว้างขวางของจังหวัดบุรีรัมย์ ว่าจะจัดสรรปันส่วนให้ได้คนละสัญญา เมื่อเปิดซองประมูลทั้ง 2 สาย ก็ตรงตามที่ ส.ส.คนดังกล่าวออกมาให้ข้อมูล  

ทั้งนี้ ทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะนำเอกฐานหลักฐานไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนสอบสวนเอาผิดกับบุคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไปด้วย

 

ถึงมือผู้ตรวจการแผ่นดิน-ป.ป.ช.สอบ‘รถไฟทางคู่’ ส่อฮั้วประมูลเอื้อ 5 บริษัทเอกชน

 

ก่อนหน้านี้ นพ.ระวี มาศฉมาดล ออกมาแถลงถึงการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างโครงการรถไฟทางคู่ 5 สัญญา โดยการประมูลเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ประมูลโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่ มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญาที่ 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก ราคากลางอยู่ที่ 27,123,620,000 บาท ราคาตํ่าสุด 27,100,000,000 ส่วนต่าง 23,620,000.00 ส่วนลด 0.09% โดยผู้เสนอราคาตํ่าสุด คือ บริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด 

และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่ มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญาที่ 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ราคากลาง 28,333.930,000 ราคาตํ่าสุด 28,310,000,000 ส่วนต่าง 23,930,000.00 ส่วนลด 0.08% ผู้เสนอราคาตํ่าสุด คือ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)

 

นพ.ระวี กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้แถลงข่าวถึงการประมูล 3 โครงการแรก และมีเพียงแค่ 5 บริษัทที่สามารถนำผลงานเข้ายื่นเสนอราคาได้ คือ 1. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรักชั่น จำกัด (มหาชน) 4. บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรักชั่น จำกัด (มหาชน) และ 5. บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท อินยิเนียริ่ง (1964) จำกัด 

“วันนี้ชี้ชัดแล้วว่าแบ่งกันลงตัวบริษัทละ 1 โครงการ ซึ่งราคาประมูลในแต่ละสัญญาที่มีราคาใกล้เคียงกับราคากลางอย่างมาก เสมือนบริษัทผู้ประมูลมีตาทิพย์” นพ.ระวี ระบุ

การประมูลโครงการดังกล่าวที่ “ส่อฮั้วการประมูล” ขณะนี้ข้อกังขาต่างๆ ได้ถูกยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ตรวจสอบ” แล้ว ผลจะลงเอยอย่างไรต้องติดตาม...

 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,686 หน้า 10 วันที่ 10 - 12 มิถุนายน 2564