“พิชาย-ธีระชัย”ชำแหละ “7 ปีรัฐบาลประยุทธ์” การเมือง-ศก.-สังคม”ล้มเหลว

05 มิ.ย. 2564 | 18:39 น.
1.4 k

“ดร.พิชาย-ธีระชัย”ชำแหละ "7 ปี รัฐบาลประยุทธ์”ทำ“ประชาธิปไตย-การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม”ล้มเหลว “อดีตขุนคลัง”ชี้อีกไม่นานชาติจะเข้าสู่วิกฤติการคลัง เหตุบริหารเพื่อพวกพ้อง

วันนี้(5 มิ.ย.64) ที่ร้าน N-Story Art Garden ถนนสตรีวิทยา 2 ซอย 18 “กลุ่มประชาชนคนไทย” (ปท.) จัดกิจกรรม ประชาชนเสวนา ประเด็น “7 ปี ความล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดยมี ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายบำรุง คะโยธา อดีตแกนนำสมัชชาเกษตรกรรายย่อย ภาคอีสาน (สกยอ.) เข้าร่วม

ดร.พิชาย กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจใน 7 ปี ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดของประเทศไทยเท่าที่ผ่านมา ซึ่งก็คาดหวังว่าอำนาจที่มีมากจะสามารถทำอะไรให้ประเทศได้มาก แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา “ระบอบประยุทธ์” ได้ทำลายระบอบประชาธิปไตย ริดรอนอำนาจประชาชนผ่านการออกแบบรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่สืบทอดอำนาจ โดยผ่านกลไกวุฒิสภาเพื่อให้ตนเองสามารถบริหารประเทศได้ต่อเนื่อง อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังถูกออกแบบมาเพื่อทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง ทำให้เกิดปรากฏการณ์”งูเห่า” 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา “ระบอบประยุทธ์” ได้ดำเนินการรื้อฟื้นระบบรวมศูนย์อำนาจของรัฐราชการขึ้นมาก ซึ่งการบริหารแบบรวมศูนย์นี้เป็นการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่สามารถตอบสนองสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในปัจจุบันได้ 

โดยนอกจากจะไม่แก้ปัญหาในอดีต กลับยังเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการไปลดบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดความอ่อนแอ ด้วยการระงับการเลือกตั้งต้องถิ่นไว้เป็นเวลานาน รวมถึง “ระบอบประยุทธ์” ยังมีการสร้างระบอบพวกพ้องขึ้นมา ซึ่งมีเครือข่ายจากหลายภาคส่วนและมีการวางตัวไว้ทุกองค์กร ทั้งสถาบันการเมือง ตุลาการ และองค์กรอิสระ เพื่อที่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำ 

ดังนั้น ทิศทางการทำงานขององค์กรเหล่านี้ ก็จะมุ่งไปตอบสนองรับใช้ผู้มีอำนาจ ทำให้ความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันการเมือง ตุลาการ และอื่นๆ ลดลง จึงทำให้เกิดวิกฤติความชอบธรรมในสังคม อีกทั้ง “ระบอบประยุทธ์” ยังใช้อำนาจในการขัดขวางการก้าวหน้าและการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย เช่น การขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงที่ผ่านมา

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ระบบจริยธรรมในสังคมไทยผิดแปลกไป ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาทุกฉบับ ต้องการนักการเมืองที่มีจริยธรรม แต่ในทางปฏิบัติพล.อ.ประยุทธ์ กลับสร้างความสับสนให้ประชาชน โดยการเอาบุคคลที่มีประวัติไม่ดี เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดมาเป็นรัฐมนตรี ทำให้เป็นการทำลายบรรทัดฐานของสังคมไทยที่พยายามจะสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง”

ดร.พิชาย ชี้ด้วยว่า “ระบอบประยุทธ์” มีการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการแสดงออกของประชาชน โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่ออกมาบังคับใช้ในสมัยที่เป็น คสช. อีกทั้งปัจจุบันแม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ก็ยังเคยชินกับการใช้อำนาจเด็ดขาด โดยเฉพาะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการรวบอำนาจ ซึ่งตนก็ไม่เห็นว่ามีประเทศใดใช้กฎหมายลักษณะนี้ต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 

รวมถึงยังมีการสร้างความอ่อนแอให้กับสวัสดิการสังคม โดยเห็นได้ชัดเจนจากการจัดงบประมาณปี 2565 ที่มีการตัดงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม รวมถึงยังมีการสร้างความแตกแยกครั้งใหม่อย่างลึกซึ้งในสังคมไทย โดยการมองประชาชนเป็นปรปักษ์ จนทำให้คนไทยจำนวนมากมีความรู้สึกแปลกแยกกับแผ่นดินแม่ที่ตัวเองอาศัย จนมีการพูดคุยถึงการย้ายประเทศที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย 

 

ด้าน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความเห็นว่า ในมุมมองของตนคิดว่า 7  ปี เศรษฐกิจการคลังของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ช้าไม่นานจะนำประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติทางด้านการคลัง เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ บริหารการคลังไม่ใช่เพื่อประชาชน แต่เป็นการคลังเพื่อการเมือง ซึ่งเป็นการเมืองที่ไม่ได้มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง แต่เป็นการเมืองเพื่อผลประโยชน์พวกพ้อง 

โดยในปี 2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหาร เชื่อว่าหลายคนมีความหวังว่าระบบการเมืองจะเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นการเมืองแบบเดิม จนทำให้เกิดปัญหาต่อภาวะการคลัง เพราะการทำนโยบายที่ผ่านมา มีการใช้นโยบายประชานิยม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นวิกฤติการคลังของประเทศ 

นายธีระชัย กล่าวว่า ประชานิยมในประเทศไทยไม่ได้เป็นเหมือนกับประชานิยมในประเทศอื่นๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง การต่อสู้ของประชาชนกับนายทุน และนำไปสู่การปฏิรูปสิ่งต่างๆ แต่ในประเทศไทยนั้นเอาประชานิยมมาใช้แค่เพียงกระพี้ ไม่นำเอาแก่นสารมาใช้ และเป็นการนำมาเป็นเครื่องมือในการล่อใจเหมือนขนมหวาน มาแจกให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง