“นิพนธ์”ย้ำต้องไม่ประมาททั้งอุบัติเหตุและโควิด

03 ม.ค. 2564 | 17:59 น.

“นิพนธ์”ย้ำต้องไม่ประมาททั้งอุบัติเหตุและโควิด ห่วงยอดการตายสูงกว่าปี 63 เกือบ 20% เตรียมนัดถกหาทางแก้ไขรับมือช่วงเทศกาลสงกรานต์ 


เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2564 นายนิพนธ์ บุญญามณีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดตรวจเพื่อป้องกันและและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่และด่านป้องกันการแพร่ระบาดของ covid 19 ในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย จุดตรวจดอยแคร์ อำเภอหัวไทร จุดตรวจชะเมา อำเภอเมืองและจุดตรวจอำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช  โดยมีนายไกรศร วิศิษฐ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ และเมื่อช่วงเช้าได้มีการตรวจเยี่ยมในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา อีกด้วย
 

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ครั้งนี้ได้มาเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เนื่องในเทศกาลวันปีใหม่ซึ่งปีนี้เรามีสถานการณ์ทั้งการป้องกันการแพร่ระบาดของ covid-19 และดูแลความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของพี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมาในช่วงเทศกาล ซึ่งมีการนำรถออกมาใช้บนถนนจำนวนมากทำให้การจราจรคับคั่ง
 

สถานการณ์ในปีนี้เมื่อมีสถานการณ์การระบาดของโควิดระบาดในรอบที่ 2 คาดว่าคนจะอยู่บ้านอุบัติเหตุจะน้อยลง แต่ว่าภาพรวม 5 วันอันตรายที่ผ่านมาสถานการณ์ไม่เป็นตามที่คาดการณ์ซึ่งปีนี้การสูญเสียมากขึ้นเกือบ 20% นั่นถือว่าอุบัติเหตุทำให้คนเสียชีวิตมากขึ้น


จากตัวเลขปีที่แล้ว 5 วันเราเสียชีวิตไป 272 ราย แต่ปีนี้เสียชีวิตไป 316 ราย ซึ่งต้องเตรียมแผนแก้ไข และในปีนี้จังหวัดนครศรีธรรมราช มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจนถึงขณะนี้จำนวน 10 ราย ซึ่งเมื่อปีใหม่ 63 มีผู้เสียชีวิต 6 ราย เท่ากับเพิ่มเกือบ 100%
 

จึงอยากจะฝากการบ้านให้ทางปภ. ดูว่าจะอบรมอย่างไรเรื่องการใช้รถใช้ถนนเพื่อลดการสูญเสียที่เกิดจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดการดื่มแล้วขับทั้งสายหลักและสายรองซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น การเมาแล้วขับยังเป็นสาเหตุหลักอยู่ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียจึงฝากเป็นประเด็นนี้เอาไว้
 

“นิพนธ์” ย้ำต้องไม่ประมาททั้งอุบัติเหตุและโควิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงเราต้องมีการปรับแผนกันว่าเทศกาลอย่างนี้หรือวันปกติจะทำอย่างไร โดยทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมาที่เสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย และขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนในช่วง 1-2 วันนี้เป็นช่วงที่มีการทยอยเดินทางกลับก็ขอให้เพิ่มความระมัดระวังเพราะอาจอ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุและร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย


อย่างไรก็ตาม ในนามรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย อยากขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชนในการใช้รถใช้ถนนและการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด
 

“นิพนธ์” ย้ำต้องไม่ประมาททั้งอุบัติเหตุและโควิด

นอกจากนี้ รมช.มหาดไทยยังได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์และการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการป้องกันและลดการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนในเทศกาลปีใหม่ 2564 กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ที่ว่าแม้เทศกาลปีใหม่ 2564 อยู่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งทำให้การเดินทางในช่วงเทศกาลใหม่มีจำนวนลดลง ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บเล็กน้อยลดลงร้อยละ 10.9
 

แต่ก็ทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีข้อจำกัด ส่งผลให้ผู้ถูกดำเนินคดีลดลงร้อยละ 54.0 และทำให้สถิติการ เกิดอุบัติเหตุ การเสียชีวิตและการบาดเจ็บadmitted เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17-19 สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าการใช้อุปกรณ์นิรภัยของผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีเพียงร้อยละ 15.8
 

และแม้ว่าจะมีการสั่งการให้บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด แต่ในเรื่องของการดื่มแล้วขับก็ยังพบว่าการดำเนินคดีมีจำนวนลดลงถึงร้อยละ 63.0 ทำให้การดื่มแล้วขับเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุถึงร้อยละ36.2 และในผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บที่ทราบผลการตรวจแอลกอฮอล์ในภาพรวม มีแอลกอฮอล์เกินกฎหมาย กำหนดร้อยละ 49.0 และเป็นผู้ขับขี่ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี มีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนดถึงร้อยละ 31.4 
 

“นิพนธ์” ย้ำต้องไม่ประมาททั้งอุบัติเหตุและโควิด

ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอแนะด้วยว่า 1.วันที่ 2-3 ม.ค. 64 เป็นช่วงของการเดินทางกลับให้เดือนประชาชนและเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังการเมื่อยล้าซึ่งอาจทำให้เกิดการหลับในได้ โดยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ผู้เดินทาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 2. การใช้อุปกรณ์นิรภัยเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทางทั้งโดยสารและขับขี่ 3.เน้นการบังคับใช้กฎหมาย เข้มงวดกวดขันวินัยจราจร ในเรื่องการขับรถเร็วควบคุมให้รถบนถนนไม่ขับเร็วหรือช้าจนเกินไป 4. ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องเตือนประชาชนในชุมชนให้เพิ่มความระมัดระวังรถจากนอกพื้นที่สัญจรผ่านถนนทางหลักในพื้นที่ ซึ่งได้สอดคล้องกับสิ่งที่ตนได้เน้นย้ำมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย