“คดีเหมืองทองอัครา” ป.ป.ช.พบติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ

28 ส.ค. 2563 | 13:40 น.
19.4 k

ป.ป.ช.พบข้อมูลใหม่ "คดีเหมืองทองอัครา" ติดสินบนจนท. หลังพบอีเมลเส้นทางการเงินไปพักที่ฮ่องกง-สิงคโปร์ ขอคำยืนยันจากต่างประเทศเป็นทางการไม่ได้ ชี้เรียกค่าเสียหาย 6-7 พันล้านบาท แต่ทุจริตเชิงนโยบาย ไม่เป็นธรรมกับประเทศ

 

วันนี้ (28 ส.ค.63) น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  ดำเนินการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ส่งข้อมูลและหลักฐานจาก ก.ล.ต.ออสเตรเลีย กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายประเสริฐ บุญชัยสุข อดีต รมว.อุตสาหกรรม และ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ผู้ถูกกล่าวหา เรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อให้กลุ่มบริษัท คิงส์เกตฯ ได้ประโยชน์ในการสำรวจและทำเหมืองแร่ในพื้นที่ จ.สระบุรี จ.เพชรบูรณ์ จ.พิจิตร และ จ.พิษณุโลก โดยมิชอบ ว่า คดีดังกล่าวมีความซับซ้อนและแยบยล เป็นคดีระหว่างประเทศ 

 

ดังนั้น จึงมีการแยกประเด็นไต่สวนออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ  และ กรณีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ

 

น.ส.สุภา กล่าวว่า ในส่วนกรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ขณะนี้มีข้อมูลจากอีเมล์พบว่า มีเส้นทางการเงินเข้ามาจริง มีการพักเงินที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ จึงนำเข้ามาไต่สวนในสำนวน

 

อย่างไรก็ดี ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการยืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการ  โดย ป.ป.ช.ดำเนินการสืบหาเส้นทางการเงินดังกล่าวกับบัญชีอีเมล์ปลายทาง  อย่างไรก็ตาม เหมือนปลายทางจะรับปากบ้าง ไม่รับปากบ้าง ฝ่าย ป.ป.ช. เดินทางไปต่างประเทศเพื่อขอข้อมูลดังกล่าว แต่ไม่ได้ให้ความร่วมมือ โดยขณะนี้ ป.ป.ช.กำลังพยายามเต็มที่เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏในอีเมล์ฉบับนี้  แต่ต้องมีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการจากต่างประเทศก่อน

 

น.ส.สุภา ยังกล่าวว่า กรณีการปฏิบัติหน้าที่ทางอาญาของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น  เมื่อ 2-3 เดือนก่อน คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องไปแล้ว

 

“ป.ป.ช.เคยประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับฝ่ายอัยการแล้วว่า ข้อมูลเหล่านี้เพียงพอหรือไม่ แต่ตอนนี้เรารอข้อมูลเพียงอย่างเดียว คิดว่าเราสู้เต็มที่ การเรียกค่าเสียหาย 6-7 พันล้านบาทกับประเทศ โดยมีการทุจริตเชิงนโยบายนั้น ไม่เป็นธรรม แต่มุมของเราได้ลงโทษทางอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐไปแล้วในส่วนนี้” น.ส.สุภา กล่าว