"สุรพล นิติไกรพจน์" จี้รัฐเร่งตั้งกรรมการตรวจสอบ เพื่อเรียกศรัทธา

27 ก.ค. 2563 | 07:05 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.ค. 2563 | 14:19 น.


"โอกาสเดียวที่นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหลุดรอดและพารัฐบาลออกจากพายุอารมณ์และความโกรธแค้นของผู้คนทั้งประเทศได้ คือ การออกมาพูดโดยเร็วที่สุดว่า รัฐบาลไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่องนี้ แต่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม และนายกฯจะตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบกระบวนการเรื่องนี้ทั้งหมด โดยให้ทำให้เร็วที่สุดสักสองสัปดาห์ และประกาศว่า ถ้าพบว่ามีอะไรผิดพลาด ทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบ จะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรงที่สุดเพื่อเรียกศรัทธาและความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมกลับมา "


"สำนักข่าวอิศราฯ"เผยแพร่ความเห็นของ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อกรณีคดีของ" บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา" ว่าเรื่องขับรถชนคนตาย เป็นเรื่องสามัญ (common) ที่คนรู้เห็นและเข้าใจกันทุกชนชั้น ทั้งประเทศ แต่การที่จำเลยไม่ถูกสั่งฟ้อง อย่างกรณีนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดและไม่มีใครเข้าใจได้เลย

 

แทนที่จะทำสำนวนว่า ประมาทร่วมและได้ช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายอย่างดีแล้ว ปล่อยให้ไปศาลแล้วถูกศาลตัดสินจำคุกแต่ให้รอลงอาญา

 

ดังนั้น อัยการที่ไม่สั่งฟ้อง และตำรวจที่ไม่ทำความเห็นแย้ง ซึ่งทั้งคู่เป็นองค์กรหลักในกระบวนการยุติธรรมที่เปราะบางอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นความล้มเหลวและหมดหวังที่จะพึ่งได้อีกจากคนทั้งประเทศที่รับรู้เข้าใจเรื่องง่ายๆนี้หมดทุกคน และจะทำให้ระบบความยุติธรรมหมดความหมาย ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป

 

ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าเศรษฐกิจก็ล้มเหลว การแพร่ระบาดของโควิดก็คุกคาม สังคมก็แตกแยก คนเบื่อและเกลียดรัฐบาลมากขึ้น

 

อย่างเดียวที่รัฐบาลใช้เป็นหลักพิงประคองตัวอยู่ได้คือ Law and Order (กฎหมายและคำสั่ง) บัดนี้คนส่วนใหญ่เห็นว่า กฎหมายมันไม่ศักดิ์สิทธิและไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว

 

เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องประชาชนทุกภาคส่วนรุมกันด่าตำรวจหรืออัยการ แล้วพอผ่านไปสองอาทิตย์ก็จบ  แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายลงของรัฐบาล ซึ่งคาดว่า จะมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อมีคนโยงและชาวบ้านเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรับเงินบริจาค 300 ล้าน เพื่อช่วยเหลือการแพร่ระบาดของโควิด-19จากเขาเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้(ทั้งที่ความจริงคือนายเฉลิม อยู่วิทยา ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่า บริจาคเงิน 300 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลต่างๆ)


 

นี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียว

 

แต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไหที่เทราดลงไป ขณะที่ม็อบของคนรุ่นใหม่กำลังจุดติด ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการผูกขาดอำนาจ ต่อต้านพวกทุจริต ต่อต้านรัฐบาลที่ทำให้คนตกงาน เศรษฐกิจล้มเหลว หรือต่อต้านเผด็จการ ทั้งหมดคือภาพรวมของการต่อต้านสังคมที่อยุติธรรมนั่นเอง

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยรัฐบาลไม่รับรู้ ไม่ตั้งใจ แต่timing (ช่วงเวลา)ที่มาคือการสาดน้ำมันเข้ากองไฟที่เพิ่งจุดติดแค่กองเล็กๆจากการชุมนุมของนักศึกษาเท่านั้น และมันจะทำให้เกิดกองไฟลุกท่วมประเทศในเวลารวดเร็วมาก

 

โอกาสเดียวที่นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหลุดรอดและพารัฐบาลออกจากพายุอารมณ์และความโกรธแค้นของผู้คนทั้งประเทศได้ คือ การออกมาพูดโดยเร็วที่สุดว่า รัฐบาลไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่องนี้  แต่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมไม่ใช่จะมาพูดว่ารัฐบาลจะไม่ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม

 

เพราะperception (ความเข้าใจ) ของคนทั้งประเทศ เห็นรัฐบาลสั่งได้หมดมาตั้งแต่ช่วงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)แล้ว และนายกฯจะตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบกระบวนการเรื่องนี้ทั้งหมด จากคนที่สังคมไว้วางใจ โดยให้ทำให้เร็วที่สุดสักสองสัปดาห์ และประกาศว่า ถ้าพบว่ามีอะไรผิดพลาด ทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบ จะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรงที่สุดเพื่อเรียกศรัทธาและความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมกลับมา และทำให้มี Law and Order ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนรัฐบาลนี้ในเวลานี้กลับคืนมา  เป็นหลักเดียวที่รัฐบาลจะใช้ค้ำจุนตนเองต่อไปได้ครับ