ปริญญ์ เสนอหั่นงบซื้ออาวุธ-ดูงานไม่จำเป็น

30 มิ.ย. 2563 | 19:24 น.
1.3 k

ปริญญ์ เสนอ 4 ประเด็นหลัก ใช้งบประมาณ 64 ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องเน้นฐานราก ตัดเพิ่มงบซื้ออาวุธ การดูงานที่ไม่จำเป็น แนะเพิ่มฐานรายได้ เก็บภาษียอดขายบริษัทยักษ์ใหญ่ออนไลน์

 

 รัฐสภา (30 มิถุนายน 2563) –นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย ในฐานะที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา ได้แถลงข่าวประเด็นความเห็นต่อการใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ

โดยในตอนต้น นายปริญญ์ ได้ตั้งข้อสังเกตุว่าควรต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ตั้งไว้ 3.3 ล้านล้านบาท ควรมีการปรับลดลงหรือไม่ เนื่องจากการคาดการณ์รายได้ ได้มีการปรับลงจาก 2.777 ล้านล้านบาท เหลือ 2.677 ล้านล้านบาท (จากประมาณการงบประมาณปี 63 ที่ได้ตั้งไว้คือ 2.731 ล้านล้านบาท ) ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะต้องมีการปรับลดลงมากกว่านี้หลังจากเราได้เห็นผลกระทบเชิงลบจากพิษโควิด-19 ทั้งนี้การปรับลดรายได้ทําให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 623,000 ล้าน โดยสัดส่วนของวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลไม่ควรเกิน 20% ของงบประมาณ (มีช่องขยับได้เหลือแค่ประมาณแสนล้าน)

นายปริญญ์ จึงได้มีข้อเสนอต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 แยกเป็น 4 ประเด็นหลัก ดังนี้

 

การหารายได้เพิ่ม

 

ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย นายปริญญ์ดีใจที่กระทรวงคลังมีการเก็บ VAT จากการบริการของแพลตฟอร์มออนไลน์ตามที่ทีมเศรษฐกิจทันสมัยเคยเสนอ แต่ยังไม่ครอบคลุม เนื่องจากทีมฯ ต้องการผลักดันให้เก็บภาษีจากยอดขาย Sales Tax ของบริษัทยักษ์ใหญ่ออนไลน์ด้วย ตามที่สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย ได้เริ่มเก็บแล้วและอีกหลายประเทศกําลังจะทําตามมา โดยที่ประเทศไทยสามารถทําร่วมกับนานาชาติด้วยได้ยิ่งดี เพราะต้องร่วมมือกันแบบข้ามพรมแดน รวมถึงการเก็บภาษีเดินทางออกนอกประเทศ Sayonara tax แบบที่ญี่ปุ่นทำก็สามารถเสริมรายได้เช่นเดียวกับ และปรับโครงสร้างภาษีพลังงาน ตามที่กรมสรรพสามิต เสนอให้มีภาษีคาร์บอน (Carbon tax) ซึ่งเป็นมาตรการทางเศรษฐศาสตร์จูงใจให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการสนับสนุนพลังงานทางเลือก เพื่อลดต้นทุน และส่งผลดีกับสิ่งแวดล้อม

 

การลดรายจ่าย 

การรักษาวินัยทางการคลังเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลต้องกล้าที่จะตัดสินใจปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นในปี 2564 ออก หรือเลื่อนการจ่ายออกไปก่อน ถึงแม้จะมีการปรับลดมาบ้างแล้วแต่ก็ยังน้อยเกินไป ในขณะที่มีงบประมาณ 4 แสนล้านมาฟื้นฟูพิษโควิดบวกกับเงินกู้และการโอนงบแล้ว และที่สำคัญควรลดงบประมาณการเดินทางต่างประเทศ การซื้ออาวุธ หรือการดูงานที่ไม่จำเป็น

 

การจัดสรรงบประมาณ
 
ต้องการให้มีการจัดสรรงบประมาณมุ่งเน้นไปที่ท้องถิ่น และเศรษฐกิจชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ด้านการศึกษา ต้องจัดสรรงบเน้นช่วยโรงเรียนในต่างจังหวัดที่คุณภาพยังไม่ได้มาตรฐาน พัฒนาครู และผู้เรียน ให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกันในทุกพื้นที่ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ผ่านอาชีวศึกษาและอาชีวะเกษตร ให้คนคืนถิ่น ไม่เกิดการกระจุกตัวในเมือง รวมถึงเรื่องการตรวจสอบงบประมาณท้องถิ่นที่ได้รับการจัดสรรงบโควิดไปเยอะมาก ไม่ให้มีการทุจริต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สําคัญมาก เพราะทุกบาททุกสตางค์ต้องนําไปใช้เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง  

 

การสร้างงานและแรงงานฝีมือ วิชาชีพยุคใหม่ 

การส่งเสริมและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ควรมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการให้เข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัยและช่องทางการตลาดยุคใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การนําเอาข้อมูลมาจัดเก็บ Big Data และใช้ขับเคลื่อนนโยบายบูรณาการ เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด พัฒนาสินค้าเกษตรไทยให้อยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีมูลค่าสูงขึ้น มีการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อให้ชุมชนได้ผลประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แจกเงิน 3 พัน ให้ไปใช้กับที่พัก เพราะจะเป็นการช่วยโรงแรม 4-5 ดาว ที่มีศักยภาพมากกว่า แต่กลุ่มโรงแรมขนาดเล็ก 1-3 ดาวที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดจะไม่ได้รับการสนับสนุน

 

"วิกฤตโควิด -19 คราวนี้ แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างแท้จริง การแก้ปัญหาต้องเน้นการแก้เป็นรายประเด็น เชิงพื้นที่ ไม่ใช่การแก้ปัญหาในวงกว้างแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อช่วยคนตัวเล็กให้อยู่รอด อย่าไปเน้นที่ตัวเลข GDP แต่ควรเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด ให้ทุกคนรอดเหมือน ๆ กัน ไม่ใช่การอุ้มแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง" นายปริญญ์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย