จีนเปิดประเทศ ความต่างยุค “สีจิ้นผิง” VS “เติ้งเสี่ยวผิง”

10 ม.ค. 2566 | 09:48 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2566 | 04:51 น.
818

จีนเปิดประเทศ 8 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” เกือบ 3 ปี ชวนดูความต่างการเปิดประเทศในยุค “สีจิ้นผิง” VS “เติ้งเสี่ยวผิง”

จีนเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 หลังจากใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” เกือบ 3 ปี ทำให้ยอดค้นหาแหล่งท่องเที่ยวบนเว็บไซต์ trip.com พุ่งกระชูด ไทยติดหนึ่งในหมุดหมายของนักท่องเที่ยวจีนค้นหาที่สุด รวมฮ่องกง มาเก๊า ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

 

นโยบายจีนเปิดประเทศ หากมองในแง่ดีมีผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสาขาบริการที่เกี่ยวข้องจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ในมิติลบนั้นก็คือ อาจเกิดการระบาดของโควิดระลอกใหม่ จากข้อกังวลของนานาชาติที่ออกมาตรการคุมเข้มนักท่องเที่ยวจีนหลายประเทศ รวมทั้ง WHO เปิดเผยข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด และระบุว่าไม่มีข้อมูลชนิดของสายพันธุ์โควิดที่กำลังระบาดในจีนด้วย  ถือเป็นความท้าทายที่ทั้งโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด

 

หากพิจารณา “จีนเปิดประเทศ” ภายใต้การนำของสีจิ้นผิงแตกต่างจากการครั้งที่ “เติ้งเสี่ยวผิง” ประกาศเปิดประเทศ เมื่อกว่า 40 ปีก่อน  ครั้งนั้นเป็นการประกาศแนวคิดปฏิรูปในเดือนธันวาคม ปี 1978 “เปิดประตู” (Open Door Policy) หลังประสบปัญหาเศรษฐกิจจากการปฏิวัติวัฒนธรรม จากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 "เหมา เจ๋อตุง" ผู้นำประเทศจีน ดำเนินนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยึดตามแนวทางสังคมนิยม ซึ่งแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าวนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยเฉพาะภายหลังการดำเนินนโยบายก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ (Great Leap Forward) ที่สร้างผลกระทบทาง เศรษฐกิจให้กับจีนอย่างหนัก

 

ต่อมาเติ้งเสี่ยวผิง ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนที่ 2 หลังประธาน “เหมา เจ๋อตง” ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1976 จากนั้นก็เริ่มนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เพราะเขาเห็นว่าจีนต้องพัฒนามากขึ้น จะต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยรวมทั้งต้องมีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นด้วย.เพื่อให้เศรษฐกิจจีนเทียบเท่าตะวันตก

 

ผลสำเร็จของนโยบายนี้ ทำให้มีต่างชาติเข้ามาลงทุน และทำธุรกิจกับจีน นโยบายการค้าระหว่างต่างประเทศเกิดขึ้น จีนได้เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ใน 4 พื้นที่คือ เซินเจิ้น จูไห่ ซ่านโถว และเซี่ยะเหมิน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับต่างชาติเพื่อเป็นการดึงดูดการลงทุน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบาย "สี่ทันสมัย" คือ การเกษตร การอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตั้งขึ้นมานั้น เซินเจิ้น ถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีบทบาทสําคัญอย่างมากในการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน

 

“เติ้ง เสี่ยวผิง” เคยกล่าวไว้ว่า “หวังให้คนจำนวนหนึ่งรวยก่อน เพื่อให้ผู้อื่นรวยตาม และจะได้รับอานิสงส์ร่วมกัน”

 

การเปิดประเทศจีนภายใต้การนำของ “สีจิ้นผิง” คือการรักษาสถานภาพด้านเศรษฐกิจ และเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันทางการเมืองจากความไม่พอใจของประชาชนที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดมาเกือบ 3 ปี หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ผู้นำสีประกาศยึดถือนโยบายของเขาต่อไปโดยไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือน ต.ค.2565 

 

การที่จีนกลับทิศทางและละทิ้งนโยบายปลอดโควิด มีความเห็นจากหลายฝ่ายที่มองไปในทิศทางเดียวกันคือ หลักฐานแสดงให้เห็นว่ามาตรการโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนของประชาชน 

 

เริ่มตั้งแต่การที่ประชาชนลุกฮือประท้วงเป็นวงกว้าง หลังเกิดเพลิงไหม้อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองอุรุมชี จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน ประชาชนจำนวนไม่น้อยกล่าวโทษว่าคนที่อาศัยอยู่บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้านตามมาตรการควบคุมโควิด กลุ่มผู้ประท้วงต่างเรียกร้องให้สีลาออกจากตำแหน่ง เเละขับไล่พรรคคอมมิวนิสต์จีน

 

ขณะที่มีความเห็นว่าการอสัญกรรมของ อดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ได้เพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีน เพราะประชาชนจีนบางส่วนว่ามองยุคของเจียง เจ๋อหมิน ทำให้จีนเปิดประเทศสานสัมพันธ์กับโลกภายนอกอีกครั้ง เป็นยุคที่เศรษฐกิจเติบโตเเบบก้าวกระโดด ต่างจากยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลจีนต้องกลับลำ รีบปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกจับตาทั่วโลก เพราะเป็นช่วงเดียวกับที่จีนเผชิญการระบาดของโรคโควิดอย่างหนักหน่วง ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิดพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นเผย มณฑลเหอหนานของจีน มีผู้ติดเชื้อโควิดแล้วกว่า 88 ล้านคน

 

อย่างไรก็ตาม นโยบายเปิดพรมแดน ประชาชนชาวจีนเดินทางไปต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องตรวจเชื้อโควิด และเข้ารับการกักตัวเป็นเวลา 5 วันในสถานที่ของรัฐบาล ส่วนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศจีนนั้น ไม่ต้องตรวจโควิดและกักตัวเมื่อเดินทางถึงจีน แต่น่าเสียดายที่จีนยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เเต่อนุญาตให้ต่างชาติที่เดินทางเพื่อธุรกิจ นักศึกษา เยี่ยมครอบครัวเท่านั้น