ฉางอาน ชี้โรงงานไทยผลิต EV ต้นทุนสูงกว่าจีน 30% เล็งทำรถพวงมาลัยซ้ายส่งออก

23 ส.ค. 2567 | 13:35 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2567 | 13:36 น.

ฉางอาน เตรียมเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานใหม่ จ.ระยอง ไตรมาสแรกปี 2568 กำลังผลิตเต็มที่ 100,000 คันต่อปี เผยวางแผนทำทั้งรถพวงมาลัยขวาและซ้าย เพื่อส่งออกไปทั่วโลก

นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นฐานการผลิตสำคัญของฉางอาน นอกประเทศจีน โดยบริษัทลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท สร้างโรงงานที่ จ.ระยอง พร้อมดำเนินการได้ในไตรมาสแรกปี 2568

ฉางอาน ชี้โรงงานไทยผลิต EV ต้นทุนสูงกว่าจีน 30% เล็งทำรถพวงมาลัยซ้ายส่งออก

เบื้องต้นโรงงานในไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEV และ REEV (รถพลังงานไฟฟ้าแบบขยายระยะทางการวิ่ง โดยมีเครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟ) วางกำลังการผลิตในเฟสแรกไว้ 100,000 คันต่อปี จากนั้นจะเพิ่มเป็น 200,000 คันต่อปี

 

“ต้องยอมรับว่า ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่จะผลิต EV ได้ต้นทุนที่ต่ำกว่าจีน ดังนั้นการขึ้นสายการผลิตในไทยจะมีต้นทุนสูงกว่าจีน 30% หรือบางรุ่นอาจจะต่างกันถึง 80% ทว่าเรายังมุ่งมั่นให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ และจะเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อทำต้นทุนต่อหน่วยการผลิตต่ำลง เราต้องผลิตรถให้ได้จำนวนมาก ดังนั้นประเทศไทยจะไม่ผลิตแต่รถพวงมาลัยขวา แต่ในอนาคตจะผลิตรถพวงมาลัยซ้าย เพื่อส่งออกด้วย”

นายเซิน ซิงหัว กล่าวว่า โรงงาน จ.ระยอง ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% และมีกำหนดเริ่มการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2568 โดย บริษัทได้ใช้ซัพพลายเออร์ท้องถิ่นกว่า 300 ราย และมีแผนที่จะเพิ่มอัตราส่วนชิ้นส่วนท้องถิ่นในรุ่นที่ผลิตในประเทศต้นปีหน้าถึง 50% ในด้านบุคลากรท้องถิ่น ได้ว่าจ้างพนักงานเกือบ 300 คนในกรุงเทพ รวมถึงที่จังหวัดระยอง คิดเป็นร้อยละ 70% ของพนักงานทั้งหมด และยังมีแผนที่จะส่งพนักงานที่มีทักษะประมาณ 100 คนไปฝึกอบรมที่ฉงชิ่งในเดือนกันยายนนี้ด้วย

ฉางอาน ชี้โรงงานไทยผลิต EV ต้นทุนสูงกว่าจีน 30% เล็งทำรถพวงมาลัยซ้ายส่งออก ฉางอาน ชี้โรงงานไทยผลิต EV ต้นทุนสูงกว่าจีน 30% เล็งทำรถพวงมาลัยซ้ายส่งออก

ทั้งนี้ ฉางอาน ดำเนินธุรกิจมาครบ 1 ปี มียอดขายกว่า 8,000 คัน และส่งมอบแล้วเกือบ 6,000 คัน โดยเกือบ 5,000 คันเป็น DEEPAL S07 ที่ครองอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในช่วงราคาระหว่าง 1.3 ถึง 1.5 ล้านบาท พร้อมกันนี้ บริษัทยังจ่ายภาษีให้กับประเทศไทยเกือบ 1,200 ล้านบาท