"EVAT-พันธมิตร" รุกดันไทยขึ้นแท่นเบอร์ 1 "EV" อาเซียน

06 เม.ย. 2567 | 13:10 น.
อัปเดตล่าสุด :06 เม.ย. 2567 | 13:10 น.

"EVAT-พันธมิตร" รุกดันไทยขึ้นแท่นเบอร์ 1 "EV" อาเซียน หลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ระบุเป็นการลดมลพิษและอยู่ในพลังงานสะอาด และเป็นไปตามทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งลดก๊าซเรือนกระจกแบบสุทธิเป็นศูนย์

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ สายกิจกรรมพิเศษ บริษัท กรังด์ปรีซ์อินเตอร์เนชั่นเนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ครั้งที่ 45 เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) เริ่มเป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นการลดมลพิษและอยู่ในพลังงานสะอาด เมื่อมีการเผชิญกับปัญหาโลกร้อน มลพิษทางอากาศ PM 2.5 และทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งไปสู่การผลิตและการใช้พลังงานที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสุทธิเป็นศูนย์ จึงทำให้รัฐบาลจากหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาไทยสามารถผลักดันรถ EV จนมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นลำดับต้นของโลก ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งการตื่นรู้ต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการตื่นตัวต่อการรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ จนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตค่อนข้างเร็วสำหรับรถพลังงานไฟฟ้า

"ไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงผู้นำในอุตสาหกรรม EV ซึ่งการเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลดีต่อทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตW
 

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐ และวิสัยทัศน์ในการลงทุนของภาคเอกชน  เพื่อเตรียมความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการส่งเสริมพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้สามารถสร้างรากฐานการเติบโตของ EV ในไทยได้อย่างยั่งยืน

"EVAT-พันธมิตร" รุกดันไทยขึ้นแท่นเบอร์ 1 "EV" อาเซียน

นายกฤษฎา  อุตตโมทย์  นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่ม EV ในไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จดทะเบียนใหม่ มีอัตราการเติบโตกว่า 690% หรือกว่า 76,000 คัน 

ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 121% หรือประมาณ 21,000 คัน เนื่องจากได้รับความนิยมมากในกลุ่มไรเดอร์ รวมถึงปัจจัยบวกสำคัญมาจากนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุน EV มาอย่างต่อเนื่อง และมาตรการ EV 3.0 และ 3.5 ที่ให้เงินอุดหนุน ลดภาษีนำเข้า ลดภาษีสรรพสามิตสำหรับค่ายรถยนต์ที่ลงนามในข้อตกลง MoU กับกรมสรรพสามิต เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศตามมาตรการสนับสนุน ยกระดับให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค 

 

โดยมาตรการ EV 3.5 มีผลบังคับใช้ในปี 2024-2027 นี้ด้วย และที่ผ่านมาสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ได้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนองค์ความรู้ในด้านต่างๆ  เช่น ระบบขับเคลื่อน แบตเตอรี่ ระบบการชาร์จ รวมถึงเทคโนโลยี simulation ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต  ซึ่งทางสมาคมฯ เราทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ  มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน    

นายวรากร กติกาวงศ์ กรรมการ ประธานคณะทำงาน WG8 การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า  EVAT มีบทบาทหน้าที่ ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไป และทุกภาคส่วน หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ให้มากขึ้น โดยจะทำการสื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้มีเพียงแต่รถยนต์เท่านั้น  

แต่ยังรวมถึงส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง โดยสมาคมฯ จะดูแลภาพรวมในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบาย ซึ่งได้ดำเนินการมาก่อนที่จะมีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามา จนกระทั่งปัจจุบันเมื่อมีรถไฟฟ้าเข้ามา EVAT ก็มีบทบาทในการดูแลในเรื่องของสิ่งอำนวยการความสะดวกต่าง ๆ ที่ใช้ในการสนับสนุนรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่ชาร์ต ค่าประกันภัย เป็นต้น