ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสข้ามนํ้าผ่านทะเลไปร่วมกิจกรรม Driving Experience 2023 ของฮุนได มอเตอร์ ที่สนามริคาร์โด ตอร์โม เมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน พร้อมลองขับ Hyundai i30 N แฮตช์แบ็ก ตัวแรงของเขา
โดยค่ายผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 3 ของโลกมีธุรกิจที่แข็งแกร่งในยุโรป ด้วยเอสยูวีรุ่นขายดีอย่าง Tucson, Kona ส่วนกลุ่มแฮตช์แบ็ก i20, Hyundai i30 ถือว่าพอไปได้ เพราะต้องเจอคู่แข่งที่แข็งโป๊ก อย่าง โฟล์คสวาเกน, เปอโยต์ และโตโยต้า
ถึงวันนี้ฮุนไดมีฐานลูกค้าเยอะพอสมควร และหนึ่งในกิจกรรมที่ถูกนำมาต่อยอด เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างการรับรู้ของแบรนด์ คือ Driving Experience คอร์สอบรมการขับขี่ขั้นสูง ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ในหลายสนามแข่งรถชื่อดังของยุโรป
ผมและผู้สื่อข่าวในอาเซียนรวม 7 คน (ไทย, สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์) เข้าร่วมกิจกรรมนี้ ที่สนามแข่งในเมืองบาเลนเซีย ซึ่งปัจจุบันรองรับการแข่งรถยนต์-รถจักรยานยนต์ทางเรียบหลายรายการ แต่ที่สเกลใหญ่ที่สุดของสนามตอนนี้คือ MotoGP
งานนี้ผู้จัดยังมีลูกค้าอีกกว่า 30 คนมาร่วมอยู่ในอีเวนต์วันเดียวกัน แต่ด้วยรูปแบบที่ชัดเจน กับหลักสูตรระดับสากล ภายใต้ความปลอดภัยที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เขาได้แบ่งบรรดาลูกค้าและกลุ่มผู้สื่อข่าวออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อสลับกันเข้าไปเรียนในแต่ละสถานี
Hyundai Driving Experience 2023 สนามนี้ ใช้รถยนต์หลายรุ่น (กลุ่มเดียวกันใช้รุ่นรถที่เหมือนกันหมด) แต่ล้วนเป็นตัวแรงตระกูล N ทั้ง i20 N, Hyundai i30 N ตัวถังแฮตช์แบ็ก-ฟาสต์แบ็ก
สำหรับกลุ่มนักข่าวอาเซียนได้ Hyundai i30 N ตัวถังแฮตช์แบ็ก มาเป็นรถประจำกาย แม้ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ยังไม่มีแผนทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองสัมผัสรถสมรรถนะสูง N แบรนด์ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ จากที่เราคุ้นเคยแต่รถบ้านหรือรถตู้จากฮุนได มานาน
เรียกง่ายๆ ว่า ฮุนได มีศักยภาพมากในระดับโลก จากคุณภาพของรถอเนกประสงค์ ตัวแรงตระกูล N ไปจนถึงรถพลังงานไฟฟ้า 100% EV ซึ่งรถเหล่านี้เตรียมนำเข้ามาทำตลาดในไทยแน่นอนครับ
สำหรับ Hyundai i30 N เป็นรถฮอตแฮตช์ ที่นำรถบ้านเดิมๆ มาปรับแต่งสมรรถนะ เพิ่มความโหดจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน เทอร์โบ 280 แรงม้า การขายในยุโรปมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์ดูอัลคลัตช์ 8 สปีด พร้อมชุดแอร์โรพาร์ทรอบคัน ปรับช่วงล่างใหม่ ประกบล้ออัลลอยด์ Forged ขนาด 19 นิ้ว (ชัดเจนว่าเน้น “เบา”)
การขับในกิจกรรมนี้ กลุ่มเราใช้ Hyundai i30 N เกียร์ดูอัลคลัตช์ เหมือนกันทั้งหมด โดยค่อยๆ เริ่มทำความคุ้นเคยกับรถ ผ่านสถานีแรกคือ เบรกทางตรง ตามด้วยเบรกในโค้ง
ตลอดจนสถานีเลนเชนจ์ (ไม่ต้องแตะเบรก แล้วหักหลบวัตถุด้านหน้า) สถานีจิมคาน่า และสถานีที่สนุกสนานอย่าง เจ-เทิร์น
สำหรับ เจ-เทิร์น หรือการขับถอยหลังกลับรถ ทีมงานจะพรม นํ้าให้ลานเปียกชุ่มตลอดเวลา (เพื่อจะได้หมุนกันง่ายๆ) โดยเราต้องขับรถถอยหลัง แล้วเหยียบคันเร่งจนถึงความเร็ว 30-40 กม./ชม. จากนั้นเปลี่ยนตํ่าแหน่งเกียร์จาก R มา N พร้อมหักพวงมาลัยไปด้านใดด้านหนึ่งทันที เพื่อให้ตัวรถหมุนกลับมามุ่งหน้าตรงอีกครั้ง ซึ่งเทคนิคคือ ต้องทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ใครหักพวงมาลัยช้า จะส่งผลถึงการหมุนของรถ ที่จะมีรัศมีเป็นวงกว้างมาก (กินพื้นที่เยอะ) ซึ่งครูฝึกจะให้ทุกคนลองทำไม่ตํ่ากว่าคนละ 4 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญที่สุด
ทั้งนี้ ทุกสถานีที่ผมกล่าวมาเป็นเซสชันที่ฝึกหัดกันในช่วงสายๆ ถึงบ่ายโมง และตั้งแต่บ่ายสองโมงเป็นต้นไป รถทุกคัน นักเรียนทุกกลุ่ม จะได้ขับกันแบบฟูลแล็ป ใช้วิชาความรู้ที่รํ่าเรียน มาปลดปล่อยอย่างเต็มที่
สำหรับสนามแข่งริคาร์โด ตอร์โม มีความความยาวต่อรอบประมาณ 4 กม. (สั้นกว่าสนามช้าง จ.บุรีรัมย์ เล็กน้อย) วิ่งทวนเข็มนาฬิกา แทรกกว้าง และมี Run-off Area เหลือเฟือ ดังนั้นนักเรียนทั้ง 4 กลุ่ม จึงสามารถใช้สนามในสถานีฟูลแล็ปนี้ไปพร้อมๆ กันได้
แม้หลายสถานีของกิจกรรม Driving Experience 2023 เหมือนเป็นการจำลองสถานการณ์การขับขี่ ที่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอในชีวิตประจำวัน แต่เป้าหมายของการเรียนการสอนแบบนี้ เขาตั้งใจให้เราได้สัมผัสสมรรถนะเรียนรู้ขีดจำกัดของรถ พร้อมฝึกฝนทักษะของผู้ขับขี่
หากตกอยู่ในสถานการณ์ต่างๆแล้ว รถจะมีอาการอย่างไร แล้วถ้าคนขับสั่งการไปอย่างใดอย่างหนึ่ง จะมีผลต่อการขับขี่อย่างไร
อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ประเด็นสำคัญคือ ทั้งคุณและรถยนต์ต้องมีความพร้อม (อย่างน้อยๆ สภาพยางล้อต้องดี) ซึ่งการได้เสริมสร้างทักษะการขับขี่ พร้อมฝึกการตัดสินใจ และเข้าใจอาการของรถยนต์ หรือสามารถคาดการณ์อุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้ ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีครับ
นอกจากการเข้าร่วมกิจกรรม Driving Experience 2023 ของฮุนได มอเตอร์ ที่สเปนแล้ว ผมยังมีโอกาสไปชื่มชมศักยภาพของแผนก ฮุนได มอเตอร์สปอร์ต ถึงประเทศ อิตาลี กับการแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลก WRC ที่ฮุนไดเคยคว้าแชมป์โลกมาถึง 2 สมัย
ฮุนได พยายามสร้างการรับรู้ของแบรนด์ในหลายๆ มิติ อย่างทริปนี้ให้เราไปสัมผัสรถตระกูล N ในสนามแข่งระดับโลก และใช้เวทีมอเตอร์สปอร์ต มาสะท้อนสมรรถนะของรถ ผ่านการแข่งขันทางฝุ่นรายการใหญ่
ถือเป็นการปูทาง สร้างการรับรู้ หลังจากบริษัทแม่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเต็มตัว แน่นอนว่ารถตระกูล N ที่ผมได้ลองขับ และได้ชมการแข่งขันในรายการ WRC มีโอกาสทำตลาดในเมืองไทยแน่นอน แต่จะเป็นรุ่นไหนต้องรอลุ้นการเปิดตัวปลายปีนี้
เรื่อง กรกิต : กสิคุณ