เบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า EV แพง คปภ. เล็งออกกรมธรรม์เฉพาะ

07 ต.ค. 2565 | 12:38 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2565 | 19:42 น.

คปภ. ถกหาข้อสรุป เบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า EV แพง เชิญบริษัทประกันภัย และเอกชน หารือการแก้ไขปัญหา ระยะสั้น และเร่งด่วน บรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย เล็งออกกรมธรรม์เฉพาะ เตรียมเคาะเงื่อนไข ส่วนลดเบี้ยประกัน 10-25%

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้เชิญประชุมบริษัทประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายบริษัท และผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทยหลายครั้ง 

 

ทั้งนี้เพื่อหารือข้อสรุปเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่แพงกว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ทั่วไปอย่างมาก 

สำหรับปัญหาเรื่องเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่แพงกว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ทั่วไป สรุปผลได้ 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

 

ประเด็นแรก สถานการณ์โดยทั่วไป ปัจจุบันมีรถ EV จดทะเบียนทุกประเภทประมาณ 20,000 คัน แบ่งเป็นรถเก๋งประมาณ 7,500 คัน และรถประเภทอื่น ๆ อาทิ รถจักรยานยนต์ และรถโดยสารประมาณ 12,500 คัน และบริษัทกำหนดเบี้ยประกันภัยรถ EV สัญชาติเอเชียสูงกว่ารถสันดาปในระดับเดียวกันประมาณ 5-10% รถยุโรปสูงกว่าประมาณ 10-15% และอเมริกาสูงกว่าประมาณ 20-25% ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์กลุ่มนี้

ประเด็นที่ 2 ได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของการรับประกันภัยรถ EV ที่มีจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถสันดาปในปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 800:1 ลักษณะการซ่อมไม่ว่าจะเสียหายมากหรือน้อย จะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนยกชุดอุปกรณ์แทนการซ่อม ซึ่งจะทำให้มีราคาต้นทุนค่อนข้างสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น 

 

รถยนต์ยี่ห้อ ORA ราคาทุนประกันภัยประมาณ 8 แสนบาทส่วนของแบตเตอรี่ที่เสียหายต้องมีการเปลี่ยน ต้นทุนในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ยกชุดประมาณ 5 แสนบาท สำหรับความถี่ในการเกิดเหตุนั้นใกล้เคียงกับรถสันดาป 

 

แต่ต้นทุนในการเกิดเหตุสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก ส่งผลให้ Loss Ratio เฉลี่ยของรถ EV สูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก ซึ่งข้อมูลจากการรับประกันภัยรถ EV ของต่างประเทศ ซึ่งมีประสบการณ์ในการรับประกันภัยมาก่อนพบว่ามี Loss Ratio สูงมากกว่ารถสันดาปถึง 30-40%

 

ประเด็นที่ 3 ที่ประชุมเห็นตรงกันในการแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัย ระยะสั้น และเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย ดังนี้

 

1.การจัดทำเอกสารแนบท้าย กำหนดทางเลือกเฉพาะกรณีแบตเตอรี่ได้รับความเสียหาย และต้องมีการเปลี่ยนแบบยกชุดเท่านั้น (กรณีใช้วิธีการซ่อม บริษัทรับผิดชอบทั้งหมด) โดยให้มีทางเลือก 3 กรณี ให้ผู้เอาประกันภัยเลือกข้อใดข้อหนึ่ง และบริษัทจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัย 10-25% (ตามประสบการณ์ของแต่ละบริษัท) ดังนี้

  • กรณีที่ 1 จำกัดจำนวนเงินความคุ้มครองของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองไม่ต่ำไปกว่า 50% ของมูลค่าแบตเตอรี่
  • กรณีที่ 2 กำหนดความรับผิดส่วนแรก โดยจะระบุไม่เกิน 15% ของมูลค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
  • กรณีที่ 3 Copayment กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายร่วมไม่เกิน 15%

 

2. ที่ประชุมได้ตกลงร่วมกันว่าในช่วงนี้บริษัทประกันภัยรถ EV จะไม่มีการขึ้นเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติม โดยบริษัทจะคงราคานี้ไว้ไปก่อน แม้ว่า Loss Ratio ของกลุ่มนี้จะสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก

 

3. สิ่งที่จะดำเนินควบคู่กันไปเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน คือ จะดำเนินการเก็บรวบรวมสถิติในการรับประกันภัยรถ EV และศึกษารูปแบบการประกันภัย เพื่อจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV เพื่อให้ความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับประกันภัย ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยใหม่ที่บริษัทประกันภัยในประเทศไทยยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ โดยกำหนดแผนดำเนินการในปี 2566

 

นายสุทธิพล กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยเร่งพิจารณาร่างเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถ EV ร่วมกับสายกฎหมายและคดีเพื่อเสนอต่อนายทะเบียนพิจารณาให้ความเห็นชอบตามกระบวนการและขั้นตอนต่อไป

 

"การประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัยรถ EV แพง เป็นมาตรการระยะสั้นและเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ และมีประเด็นแตกต่างจากกรณีประกันภัยรถยนต์ทั่วไป ในอนาคตจำเป็นจะต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ EV โดยเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV เพื่อให้ความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับประกันภัย"