มหิดล คิดค้น เนื้อเยื่อเทียม รักษาแผลผ่าตัดไฟไหม้ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

06 ธ.ค. 2564 | 12:15 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ธ.ค. 2564 | 19:22 น.

ม.มหิดล คิดค้น "เนื้อเยื่อเทียม" จากวัสดุสังเคราะห์รักษาแผลผ่าตัดผู้ป่วย จากเหตุเพลิงไหม้ที่มีอาการรุนแรง ช่วยชาติลดนำเข้าวัสดุทางการแพทย์ ที่มีมูลค่าถึงปีละ 15 ล้านบาท

รองศาสตราจารย์ นาวาโท ดร. นายแพทย์สรยุทธ ชำนาญเวช รองหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์แพทย์ และประสาทศัลยแพทย์ กล่าวว่า ได้ใช้เวลาคิดต้นและพัฒนานวัตกรรม "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์" เป็นเวลากว่า 3 ปี โดยได้ผ่านการทดสอบกับสัตว์ทดลองจนเป็นผลสำเร็จแล้ว

 

เตรียมทดลองกับผู้ป่วยจริงก่อนยื่นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และร่วมกับภาคเอกชนพัฒนาขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างและก่อให้เกิดรายได้กลับมาพัฒนาต่อยอดงานวิจัยต่อไป

ที่ผ่านมา บางกรณีของการผ่าตัดสมองและไขสันหลังนั้นมีความจำเป็นต้องใช้เนื้อเยื่อของตัวผู้ป่วยเอง หรือจากวัสดุสังเคราะห์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมาใช้ในการปิดสมอง หรือไขสันหลัง ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดแผลเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกด้วย การใช้ "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์" ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาทดแทนจึงมีความจำเป็น

 

การผ่าตัดแผลไฟไหม้จะต้องใช้ผิวหนังจากส่วนอื่นของร่างกายผู้ป่วยมาทำการรักษา ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดแผลเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกด้วย ศัลยแพทย์จึงต้องใช้ "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์" ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งมีมูลค่าสูงมาทดแทน

ด้วยประสบการณ์จากการทำงานในห้องผ่าตัดซึ่งต้องใช้วัสดุทางการแพทย์ประเภท "เซลลูโลส" (Cellulose) เพื่อทำการหยุดเลือด ผู้วิจัยได้นำเอาวัสดุดังกล่าวมาพัฒนาขึ้นเป็น "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์" ที่ผสานกับวัสดุชีวภาพ "โพลีคาโปรแลกโตน" (Polycaprolactone: PCL) ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ โดยเป็นงานวิจัยในระดับชาติที่ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)

 


สาเหตุที่นำเอาเซลลูโลสมาผสานกับ PCL เนื่องด้วยคุณสมบัติของเซลลูโลสแม้จะสามารถรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลได้ แต่ไม่สามารถกันรั่วซึมได้เนื่องจากสามารถละลายได้ในน้ำ ผู้วิจัยจึงได้นำวัสดุดังกล่าวมาพัฒนาร่วมกับ PCL ซึ่งเป็นพลาสติกประเภทโพลีเอสเตอร์(Polyester) ที่สามารถย่อยสลายได้ในอุณหภูมิร่างกาย แต่มีความทนทานมากกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยในเบื้องต้นได้ผ่านการทดสอบแล้วในสัตว์ทดลองพบว่าสามารถใช้ได้ถึง 72 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการอักเสบ

 


นอกจากจะสามารถใช้กับแผลไฟไหม้ได้แล้ว "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์" ที่ผู้วิจัยได้ริเริ่มคิดค้นและพัฒนาขึ้นนี้ยังสามารถใช้ได้กับการผ่าตัดเนื้อเยื่อต่างๆ โดยก้าวต่อไปจะได้ทดลองกับผู้ป่วยจริง ทั้งในส่วนของการผ่าตัดสมองหน้าอก และช่องท้อง ก่อนยื่นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และร่วมกับภาคเอกชน พัฒนาขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ในระดับ GMP (Good Manufacturing Practice) ที่ได้มาตรฐานขององค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Environmental Protection Agency: US EPA) ต่อไป

 


"การเป็นนักวิจัยที่ประสบความสำเร็จ จะต้องมี "DNA" ของความเป็น "Innovator" หรือ "นวัตกร" อยู่ในตัว โดยเริ่มจากการตั้งคำถามจากปัญหาเร่งด่วนที่พบ แล้วพยายามหาคำตอบโดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำการทดลองอย่างมีหลักการ และให้ผลที่พิสูจน์ได้ว่าใช้ประโยชน์ได้จริง"

 


"นอกจากนี้ในโลกยุคปัจจุบันไม่มีใครจะสามารถบรรลุสู่เป้าหมายได้เพียงลำพัง จึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างเครือข่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งแก่นแท้ของความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ "การได้รางวัล" แต่คือ "การได้เรียนรู้" รองศาสตราจารย์ นาวาโท ดร. นายแพทย์สรยุทธ ชำนาญเวชกล่าว

 

รองศาสตราจารย์ นาวาโท ดร. นายแพทย์สรยุทธ ชำนาญเวช รองหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์แพทย์ และประสาทศัลยแพทย์ ผู้คว้ารางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น รางวัลประกาศเกียรติคุณ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปีงบประมาณ 2564 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จากผลงานนวัตกรรม "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์"

 

ด้วยปณิธาน "ปัญญาของแผ่นดิน" ของมหาวิทยาลัยมหิดลที่ได้ทุ่มเทผลิตผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์เร่งด่วนของประชาชนชาวไทย จึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ "เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์" ที่ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 9 ซึ่งว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมนวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Industry, Innovation and Infrastructure) ข้อที่ 10 เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างยั่งยืน (Reduced Inequalities) และข้อที่ 12 ซึ่งว่าด้วยการบริโภคด้วยความรับผิดชอบอย่างยั่งยืน (Responsible Consumption) จากการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม