ย้ำ! ฉีดโมเดอร์น่าครบ 2 เข็ม ป้องกันไวรัสโควิดกลายพันธุ์ได้ 6 เดือน

06 พ.ย. 2564 | 12:15 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ย. 2564 | 19:45 น.
1.3 k

โมเดอร์นา เผยรายงาน ผลวิจัยชิ้นใหม่ สรุปวัคซีนโมเดอร์น่า สามารถรักษาระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีต่อเชื้อกลายพันธุ์ที่น่าเป็นกังวล หรือ VOCs และเชื้อกลายพันธุ์ที่น่าสนใจ (Variant of Interests, VOIs) ได้นานถึง 6 เดือน

บริษัทโมเดอร์น่า ได้เปิดเผยรายงานผลการวิจัยชิ้นใหม่ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2564 โดยตีพิมพ์ข้อมูลผลงานวิจัยฉบับใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนโมเดอร์น่าที่มีต่อการคงระดับอยู่ของระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดี ประเภทยับยั้งเชื้อต่อเชื้อไวรัสโควิดในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variant of Concerns, VOCs)

 

ต้นฉบับที่แสดงข้อมูลผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science ซึ่งจากรายงานพบว่า ในบุคคลส่วนใหญ่ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมเดอร์น่า มีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีทั้งประเภทจับกับแอนติเจนของเชื้อโควิดและภูมิคุ้มกันแอนติบอดี ประเภทที่ทำหน้าที่ยับยั้งเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ คงอยู่ได้นานเป็นเวลา 6 เดือน นับจากเวลาที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

 

นายสเตฟาน บ็องเซล ซีอีโอ บริษัท โมเดอร์น่า กล่าวว่า ข้อมูลงานศึกษาวิจัยใหม่เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ในคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมเดอร์น่าครบสองเข็ม มีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีที่คงอยู่ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลา 6 เดือน

ภูมิคุ้มกันแอนติบอดีต่อเชื้อโควิดดังกล่าว ยังรวมไปถึงเชื้อโควิดสายพันธุ์ เดลต้า อีกด้วย โดยทางบริษัทโมเดอร์น่าและพันธมิตร ยังคงทำการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในด้านต่างๆ ของวัคซีนโมเดอร์น่า และจะได้ทำการเปิดเผยแบ่งปันถึงข้อมูลร่วมกันหากมีข้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้น

"ข้อมูลการวิจัย ยังสนับสนุนถึงประสิทธิภาพที่ทนทานในระดับ 93% ของวัคซีนโมเดอร์น่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือน เราคาดว่าข้อมูลเหล่านี้ และการเพิ่มขึ้นของข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของวัคซีนเมื่อถูกนำมาใช้จริง จะเป็นการช่วยหน่วยงานที่กํากับดูแลด้านสุขภาพ ในการกำหนดแนวทางทั้งในด้านวิธีการและเวลาที่เหมาะสมสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น” นายสเตฟานกล่าว

การศึกษาฉบับนี้มีการใช้วิธีวิเคราะห์ที่หลากหลายและแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมเดอร์น่าครบสองเข็ม มีการผลิตขึ้นของภูมิคุ้มกันแอนติบอดีทั้งประเภทที่จับกับแอนติเจนของเชื้อโควิดและประเภทยับยั้งเชื้อโควิด ทั้งต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์บรรพบุรุษเอง รวมไปถึงต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOCs) อันได้แก่ อัลฟา (Alpha), เบต้า (Beta), แกมมา (Gamma), เดลต้า (Delta), เอปซิลอน (Epsilon) และไอโอต้า (Iota) แม้ว่าจะมีการลดระดับลงของภูมิคุ้มกันแอนติบอดีเมื่อเวลาผ่านไป แต่ก็พบว่าอาสาสมัครผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่ มีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีที่ยังอยู่ในระดับที่ตรวจวัดได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 6 เดือน ภายหลังจากการฉีดวัคซีนครบก็ตาม

แนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่า ระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีต่อเชื้อโควิดกลายพันธุ์มีการลดต่ำลง พบในกลุ่มบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนมานานแล้ว กล่าวคือ ได้รับการฉีดวัคซีนผ่านมาแล้วเป็นเวลา 209 วัน (เกิน 6 เดือน) ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนั้นมีน้อย และมีการทับซ้อนกันระหว่างกลุ่มอายุในกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ บุคคลจํานวนมากในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนผ่านมานานแล้ว ยังคงมีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีประเภทยับยั้งเชื้อต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ ภายหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มที่สองผ่านมานานแล้ว 6 เดือน

ข้อมูลจากงานวิจัยฉบับนี้ ยังเป็นการสนับสนุนข้อมูลจากรายงานฉบับอื่นๆ ที่ได้มาจากการเฝ้าสังเกตการณ์ถึงประสิทธิผลจากการใช้งานจริงของวัคซีนที่แสดงให้เห็นว่า วัคซีนโมเดอร์น่ามีประสิทธิภาพทางคลินิคที่มีความคงทนยาวนาน

นอกจากนี้ วัคซีนโมเดอร์น่ายังแสดงประสิทธิผลในสภาวการณ์ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์เดลต้า รวมไปถึงประสิทธิผลของวัคซีนโมเดอร์น่าที่มีต่อกลุ่มประชากรที่มีความยากต่อการรักษา เช่น กลุ่มของประชากรที่อาศัยอยู่ในสถานดูแลระยะยาวหรือผู้ป่วยมะเร็ง