ดันเปิดเสรี "กาสิโน" ทางสองแพร่งเดิมพันอนาคตประเทศไทย

30 มิ.ย. 2565 | 13:20 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มิ.ย. 2565 | 20:51 น.
3.0 k

ประเด็นการดันเปิดเสรี “กาสิโน” ของ กมธ.กาสิโนฯ ล่าสุดที่เตรียมชงรัฐบาลเปิด 5 แห่งทั่วประเทศ ยังคงมีข้อถกเถียงถึง "ความคุ้มค่า" หากเกิดขึ้นจริง

ประเด็น การเปิด “กาสิโน” หรือ “บ่อนการพนันถูกกฎหมาย” ที่มีการพนันหลากหลายรูปแบบไว้บริการอย่างถูกกฎหมาย แน่นอนว่าย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

สะท้อนจากผลสำรวจทัศนคติคนไทยที่มีต่อการพนัน ปี พ.ศ. 2564 โดยศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ผลสำรวจมากกว่าครึ่ง ร้อยละ 54.1 ไม่เห็นด้วยที่จะเปิดบ่อนกาสิโนเสรีในประเทศ ส่วนคำถามที่ว่าหากเปลี่ยนการพนันที่เคยผิดกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะมีผลทำให้คนเล่นพนันเพิ่มมาขึ้นหรือไม่ พบว่าคนส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.5 เห็นว่าการทำเช่นนี้จะทำให้คนติดพนันเพิ่มขึ้น 

สำหรับประเทศไทยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเมืองไทยโยนข้อเสนอการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขึ้นมาในพื้นที่สาธารณะ แต่เคยมีการเสนอและศึกษามาในหลายรัฐบาล และถูกตีตกไปทุกครั้ง ด้วยความพร้อมและปัญหาด้านศีลธรรม โดยถูกเสนอมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เรื่อยมา

 

กระทั่ง สภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก 310 เสียง ไฟเขียวเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) โดยหวังหาแหล่งรายได้ใหม่จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ

 

ความพยายามของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เกิดขึ้นเรื่อยมา เเต่ดูแล้วยังคงมีความเห็นที่ต่างกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นกฎหมาย ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertrainment Complex) ครั้งที่ 19

 

ยังมีความกังวลด้านลบต่อการพนันในแง่มอมเมาประชาชนและอาจก่อให้เกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อภารกิจของหน่วยงาน จึงขอให้พิจาณาอย่างรอบด้านทั้งผลดีและผลเสียในแง่เศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งมาตรการควบคุมปัญหาป้องกันเด็กและเยาวชนจากสถานบันเทิงด้วย

 

ล่าสุด คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรแบบถูกกฎหมาย หลังจากที่ได้ร่วมศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขให้ถูกกฎหมาย และแก้ไขการลักลอบเล่นการพนันที่ผิดกฎหมายผ่านมาประมาณ 1 ปีแล้ว ได้ข้อสรุปที่เป็นประเด็นสำคัญ คือเตรียมสรุปรายงานผลการศึกษาส่งให้รัฐบาลพิจารณาเปิดสถานบันเทิงครบวงจรในแต่ละภาคของประเทศรวม 5 แห่ง

 

  1. ภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงราย หรือเชียงใหม่
  2. ภาคกลาง ในเมืองพัทยา ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ EEC
  3. ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่
  4. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี และขอนแก่น
  5. ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

 

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจรฯ ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อศึกษาความเป็นไปได้  และเปิดโผจังหวัดที่ถูกตั้งเป็น "ตุ๊กตา" ผุดสถานบันเทิงครบวงจรอย่างน้อย 2 พื้นที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ประกอบด้วย เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง เสนอโดย ส.ส. พรรคเพื่อไทย ส่วน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เสนอโดย ส.ส. พรรคก้าวไกล

 

สำหรับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรในแต่ละภาคของประเทศรวม 5 แห่ง จะให้ทดลองเปิดในภาคละ 1 จังหวัด ซึ่งสถานบันเทิงครบวงจรที่จะเปิดนี้จะเปิดให้เล่นการพนันทุกรูปแบบ ทั้งการพนันพื้นบ้าน และแบบสากล รวมทั้งพนันออนไลน์ การเข้าไปใช้บริการภายในสถานบันเทิงจะต้องกำหนดอายุผู้ให้เข้าต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนบุคคลทั่วไปก็ต้องแสดงสถานะการเงินก่อนเข้าไปใช้บริการ ห้ามไม่ให้ข้าราชการเข้าไปใช้บริการ เว้นแต่มีใบอนุญาต

 

ขณะที่รัฐบาลจะเปิดให้มีสัมปทานจากเอกชนมาร่วมธุรกิจ โดยรัฐจะจัดเก็บภาษีร้อยละ 30 รวมทั้งภาษีบำรุงท้องที่เพื่อนำเงินไปบำรุงในพื้นที่เปิดสถานบันเทิง ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ยืนยันว่าได้ศึกษารูปแบบของสถานบริการในต่างประเทศหลายแห่งทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย ก่อนที่จะมาปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับประเทศไทย

 

ฐานเศรษฐกิจ พูดคุยประเด็นนี้กับ นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. ซึ่งสนใจศึกษาวิจัยโจทย์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย โดยเฉพาะมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์ “ดร.นณริฏ พิศลยบุตร” ที่ก่อนหน้านี้ก็เคยออกมาเตือนว่า กาสิโนถูกกฎหมายเท่าเศรษฐกิจสีเทา เตือนรัฐบาลคิดให้ดีหากจะเปิดเสรี ควรจัดการอย่างเป็นระบบ ต้องเรียนรู้ นำมาเป็นภาษี ช่วยจัดการปัญหาสังคม

 

 

ซึ่งในครั้งนี้ก็ให้ความเห็นต่อการที่ กมธ.กาสิโนฯ เตรียมเสนอรัฐบาลภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ระบุว่า  เห็นด้วยในหลักการ คือ การมีกาสิโน หากวางมาตรการควบคุมดีๆ จะเป็นประโยชน์กับประเทศ เเต่ปัจจุบันยังไม่เห็นงานวิจัยเชิงลึก เพื่อเป็นข้อมูลในการแสวงหาผลประโยชน์ที่ดีที่สุด และลดผลกระทบทางสังคมให้ได้มากที่สุด

 

ส่วนประเด็นพื้นที่ที่จะเปิดกาสิโนนั้น จำเป็นต้องเป็น "พื้นที่เศรษฐกิจ" ที่มีความเหมาะสม เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนในชุมชนยอมรับ มีความต้องการเล่นที่สูงพอจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ควรจะเป็นลูกค้าหลัก ไม่ควรจะเปิดแบบเสรีที่แต่ละพื้นที่มีกาสิโนจำนวนมาก แต่ควรจะเป็นไม่กี่แห่งถึงจะควบคุมผู้เล่นได้ง่าย รวมทั้งต้องการการศึกษาค่าส่วนแบ่งใบอนุญาตที่เหมาะสม ทั้งส่วนที่เป็นค่าใบอนุญาต และส่วนแบ่งรายได้

 

ขณะที่การแก้ไขปัญหาสังคมต้องวางแผนตั้งแต่ตอนนี้ถึงมาตรการในการควบคุมผู้เล่นชาวไทย และมาตรการ CSR ของกาสิโนที่เหมาะสม การดำเนินธุรกิจจะต้องมีการกำหนดประเภทของการพนันที่เหมาะสม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้เล่นจนเกินไป เรียกได้ว่าต้องมีมุมในเรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจมากกว่าการหากำไรอย่างเดียว

 

นอกจากนี้ ดร.นณริฏ ยังเสนอเรื่องการพัฒนากาสิโน จะต้องพัฒนาต่อยอดเป็นกีฬา ไทยต้องเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านนี้ เช่น จัดแข่งรายการระดับโลก และการจัดแข่งในระดับภูมิภาคเพื่อหาผู้ชนะ ต้องวางแผนกำลังคน สร้างมืออาชีพในการให้บริการ มีอาชีพตรวจสอบกลโกงต่างๆ ด้วย

 

อย่างไรก็ เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ยังคงถกเถียงถึง "ความคุ้มค่า" หรือ "ความคุ้มเสี่ยง" แม้รัฐบาลพูดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น นั่นคือ "รายได้" จำนวนมหาศาลจากนักท่องเที่ยว กำลังเป็นคำถามสำคัญว่า หากประเทศไทยเปิดกาสิโนถูกกฎหมายเอง มีพื้นที่เฉพาะ ตามที่ กมธ.กำลังศึกษาความเป็นไปได้และเตรียมที่จะเสนอนั้น  จะเป็นการช่วยลดปัญหาการลักลอบเล่นการพนัน และรัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้จำนวนมากหรือไม่ เพราะนักวิชาการด้านปัญหาการพนันเองก็ยังคงต่างมองแย้งถึงผลกระทบว่า อาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน