เปิดจุดเด่น 6 ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

31 มี.ค. 2565 | 11:50 น.
อัปเดตล่าสุด :31 มี.ค. 2565 | 18:36 น.
1.8 k

วันเเรกของการเปิดสมัคร ผู้ว่า ฯ กทม. ค่อนข้างคึกคัก บรรดาผู้สมัครได้เบอร์กันไปเรียบร้อย วันนี้พามาดูจุดเด่น 6 ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

เคาะระฆังเข้าสู่บรรยากาศ “เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม2565"  วันนี้เป็นการเปิดรับสมัครผู้เข้าชิงชัย ผู้ว่า ฯ กทม.  และ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ซึ่งจะเปิดรับสมัครทั้งสิ้น 5 วัน นับตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. – 4 เม.ย. 2565 โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ

โดยบรรดาผู้สมัครเดินทางมาสมัครในวันแรกเป็น การจับฉลากเบอร์  เมื่อได้เบอร์ก็จะเป็นการช่วงชิงติดป้ายหาเสียงให้ประชาชนได้จดจำ

สำหรับศึกชิง ผู้ว่าฯกทม.รอบนี้ ต้องบอกว่าเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในรอบ 8-9 ปี แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะแต่ละขั้วการเมืองต้องแข่งขันชิงคะแนนกันเอง ขณะที่การเดินหน้าหาเสียง ว่าที่ผู้สมัครแต่ละคนก็เดินหน้าเต็มสูบเช่นกัน  

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  เบอร์ 8  ภาพจำในฐานะ "บุรุษที่แข็งแกร่งสุดในปฐพี" ของอดีต รมว.คมนาคม เขาเป็นอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคเพื่อไทย สมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตอนนี้ลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ ในนามอิสระ  ประกาศความพร้อมชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. เป็นคนแรก ๆ ตั้งแต่ 30 พ.ย. 2562 เพราะคาดว่ารัฐบาลจะจัดเลือกตั้งในไตรมาสแรกของปี 2563

 

หลายคนอาจเคยเห็นเขาใส่เสื้อยืดสีดำ สะดุดตาด้วยข้อความสีเขียวสะท้อนแสง “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ร่วมกับทีมเพื่อนชัชชาติ วิ่งออกกำลังกายตามสวนสาธารณะและถนนใน กทม. ทุกวันเสาร์ เพื่อสำรวจทางเท้า และชัดเจนว่าเขามีสโลแกนในการหาเสียงคือ  “มาช่วยสร้างกรุงเทพให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน”

 

วันนี้ชัชชาติเดินทางมาถึงเป็นคนแรก โดยปั่นจักรยานเข้ามาถึงเป็นคนแรกของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อยื่นสมัครรับเลือกตั้งวันแรก เขาบอกว่า ถือฤกษ์สะดวก ส่วนที่มีผู้สมัครครั้งนี้จำนวนมากถือเป็นเรื่องที่ดี มีการแข่งกันด้วยนโยบาย เป็นตัวเลือกให้ประชาชนเยอะขึ้น  ส่วนตัวก็ทำเต็มที่ ได้เบอร์ไหนไม่สำคัญเรามีความตั้งใจทำงาน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์

การลงพื้นที่หาเสียงของ ชัชชาติ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นการรับฟังปัญหาจากผู้นำชุมชน เพื่อให้สะท้อนปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น  เขาเคยบอกว่า ตัวเองมีแนวคิด จัดผู้ว่าฯสัญจรเดินทางไป 50 เขต เพราะปัญหาของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน

 

ดร.เอ้ สุชัชวีร์  สุวรรณสวัสดิ์  เบอร์ 4  หรือที่หลายคนเรียกว่า พี่เอ้ ที่สละเก้าอี้อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กระโดดเข้าสู่สนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในพรรคประชาธิปัตย์  ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่ฯ กทม. ภายใต้สโลแกน "เปลี่ยนกรุงเทพ"  สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ส่งผู้สมัครส.ก.ครบ 50 เขต ซึ่งก็อาจจะได้เปรียบจากคะแนนเสียงจาก ส.ก.พรรคประชาธิปัตย์

 

วิสัยทัศน์ที่เขาเคยนำเสนออย่างชัดเจน คือ กรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองสวัสดิการ ที่ทันสมัยต้นแบบของอาเซียน คำว่าเมืองสวัสดิการหมายความว่า ไม่ว่ายากดีมีจนแต่ต้องอยู่ในเมืองนี้เท่าเทียมกัน

ดร.เอ้ สุชัชวีร์  สุวรรณสวัสดิ์  เบอร์ 4

วิโรจน์  ลักขณาอดิศร  เบอร์ 1 ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล อดีตส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ  ด้วยหวังว่าจะเป็นบันไดขั้นแรกที่ทำให้พรรคสีส้มมีโอกาสปรับสถานะเป็นพรรครัฐบาลบ้าง  เขามีภาพจำคือ “คนกล้าพูด ท่าทางปะฉะดะ” บางส่วนนำไปเปรียบเทียบกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. สองสมัย  ทว่าจุดเด่นของเขา อาจจะมาจากคนรุ่นใหม่ เพราะพรรคสีส้ม ก็มีพลังสียงคนรุ่นใหม่คือกุญแจสำคัญ

 

วันนี้เขามาพร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคก้าวไกล รวม 51 ราย เดินทางมาด้วย “รถเมล์” สายสีส้ม หมายเลข 46 เพื่อมาสมัครรับเลือกตั้ง

วิโรจน์  ลักขณาอดิศร นั่งรถเมล์

มาพร้อมสโลแกน  "เมืองที่คนเท่ากัน  พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพ" โดยพรรคก้าวไกล ส่งผู้สมัครส.ก. 50 เขต  สโลกแกนนี้วิโรจน์ต้องอธิบายให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้สังคมรู้สึกว่าเป็นการท้าตีท้าต่อย หรือทำให้ชาว กทม. เสียประโยชน์  

 

ครั้งหนึ่ง วิโรจน์ เคยลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบทางม้าลายภายหลังเกิดเหตุตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ขับบิ๊กไบค์ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “หมอกระต่าย” ขณะข้ามทางม้าลายหน้า รพ.สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์เสียชีวิต เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา  ถือเป็นการประเดิมงานแคนดิเดต “พ่อเมือง กทม.” วันแรก เลยก็ว่าได้

 

พล.ต.อ.อัศวิน  ขวัญเมือง เบอร์ 6  อดีตผู้ว่าฯกทม. ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล คสช. แทน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ที่โดนปลดออก จึงเป็นผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการแต่งตั้ง บริหารกทม.มาได้ 5 ปี 5 เดือน 5 วัน ตัดสินใจขอลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ด้วยการประกาศลั่น อีก 3 เดือนจะกลับมา จึงมาในสโลแกน "กรุงเทพฯต้องไปต่อ"  

 

แม้จะลงในนามอิสระ แต่ส่งผู้สมัคร ส.ก. ครบ 50 เขต เขาเพิ่งจะเปิดตัวทีมงานคนสองรุ่นมาช่วยผนึกกำลังอาสาเข้ามาสานต่อและแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้คนกรุงเทพฯ พร้อมสโลแกน “กรุงเทพฯต้องได้ไปต่อ” จุดเด่นของเขาว่ากันว่าน่าจะเป็นการรสร้างเครือข่าย คะแนนจัดตั้ง ในชื่อกลุ่มรักษ์กรุงเทพ ด้านทีมงานที่ร่วมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ มีทั้งกลุ่มคนลุยเมือง ที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่เคยร่ามงานพัฒนากรุงเทพฯในด้านต่างๆ สมัยที่ พล.อ.อัศวิน

 

1.นโยบายเมืองป้องกันน้ำท่วม

2.นโยบายเมืองเดินทางสะดวก

3.นโยบายเมืองแห่งสุขภาพ

4.นโยบายเมืองใส่ใจสิ่งแวดล้อม

5.นโยบายเมืองปลอดภัย

6.นโยบายเมืองแห่งการเรียนรู้

7.นโยบายเมืองดิจิทัล

8.นโยบายเมืองดูแลคนทุกกลุ่มทุกวัย

พล.ต.อ.อัศวิน  ขวัญเมือง

นต.ศิธา ทิวารี  หรือ ผู้พันปุ่น เบอร์ 11  อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ อดีตนักบิน F-16  ที่ห่างหายเวทีการเมือง รอบนี้ ขอลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในสังกัด พรรคไทยสร้างไทย ที่มีคุณหญิงสุดารัตน์  เกยุราพันธ์  ประธานพรรคเป็นผู้ผลักดัน 

 

 “ดิฉันลงเองไม่ได้ ดิฉันให้คนที่ไว้วางใจที่สุด มีฝีมือที่สุดและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของดิฉันทุกงานมาลงสมัคร มีดีเอ็นเอของสุดารัตน์เต็มที่ 100% มานำทัพไทยสร้างไทยในกทม.” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

 

นี่อาจจะเป็นจุดเด่นของเขาเพราะด้วยคะแนนนิยม ของคุณหญิงสุดารัตน์ เชื่อว่าจะได้คะแนนจากคนกรุง

นต.ศิธา ทิวารี  หรือ ผู้พันปุ่น

ผู้พันปุ่น มาพร้อมสโลแกน "มหานครของโลกที่คนทั่วโลกยอมรับ" พร้อม เปิด นโยบาย 3P แก้ปัญหาคนกรุงฯ

 

P แรก คือ People สร้างเมืองแห่งโอกาสให้ชาวกรุงเทพฯ เพราะประชาชนคือผู้สร้างเมือง ไม่เชื่อว่าจะมีฮีโร่จากไหนมาสร้างกทม. แต่ประชาชนจะเป็นผู้สร้างเมือง เราจะลงทุนกับเรื่องการศึกษา และชีวิตประชาชนต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

P ที่ 2 คือ Profit สร้างมหานครแห่งความมั่งคั่ง แก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน เช่นหาบเร่แผงลอย ที่มีเทศกิจคอยทำหน้าที่ตรวจสอบชาวบ้าน มีอะไรอยู่ใต้โต๊ะ ตนจะนำเรื่องเหล่านี้ออกมาวางให้ประชาชนเห็น ให้คนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมาอำนวยความสะดวกให้ประชาชนและจะคืนอำนาจให้ประชาชนมีส่วนกับการแต่งตั้งโยกย้าย

 

และ P ที่ 3 สามคือ Planet โดยจะสร้างคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯอย่างยั่งยืน

 

น.ต.ศิธาบอกว่า เขาตัดสินใจทิ้งเส้นทางสายทหารกับการเป็นนักบินสังกัดทหารอากาศมาเลือกเส้นทางสายการเมืองเพราะอยากทำงานด้านการเมืองเพราะเชื่อว่านักการเมืองสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่าทหาร โดยในตอนนั้นเขามีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนักธุรกิจที่ผันตัวมาเล่นการเมืองเป็นแรงบันดาลใจ

 

นาย สกลธี  ภัททิยกุล เบอร์ 3 อดีตรองผู้ว่าฯกทม. เดิมเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญที่มีส่วนช่วยปลุกปั้นพรรคพลังประชารัฐ คู่กับ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ คนปัจจุบัน

 

เคยเสนอตัวจะลงสมัครผู้ว่าฯสังกัดพรรค พปชร. แต่เกิดปัญหาภายใน ทำให้ตัดสินใจลาออกจากพปชร. ขอลงสมัครในนามอิสระ มาพร้อมสโลแกน "กทม.ดีกว่านี้ได้"  จุดเเข็งคือ คะแนนจาก กลุ่ม กปปส. เพราะเคยมีบทบาทสำคัญในการชุมนุม

นาย สกลธี  ภัททิยกุล

สกลธี เคยลงพื้นที่ซอยแจ้งวัฒนะ 14 พูดคุยกับกรรมการและรับฟังปัญหาประชาชนผู้อยู่อาศัยในชุมชน ถึงการจัดการระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่ พร้อมยกตัวอย่างว่า การแก้ปัญหาเรื่องท่อระบายน้ำและถนนของกทม.ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะ ติดขัดเรื่องข้อบัญญัติ กทม. ที่ระบุว่า ต้องใช้เฉพาะพื้นที่สาธารณะ ทำให้ที่เอกชนที่เชื่อมต่อที่สาธารณะไม่ได้รับการดูแล และกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ นายสกลธี มองว่า ปัญหาเหล่านี้ต้องกล้าแก้ไขข้อบัญญัติ

 

นี่คือส่วนหนึ่งของบรรดาผู้ลงสมัครผู้ว่า กทม.ฯ คงต้องจับตาดูต่อไปว่าหลังจากนี้ การหาเสียงจะเข้มข้น ดุเดือด แค่ไหน