จากรายงานข่าวการระบาดของโรคไอกรน ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ออกประกาศด่วน ปิดสถานศึกษาชั่วคราวเป็นเวลาสองสัปดาห์ หลังพบผู้ป่วยมากกว่า 2 รายป่วยจากโรคไอกรนนั้น
ล่าสุด ศ.ดร.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "ไอกรน ไขข้อข้องใจ ที่มีการระบาดอยู่ขณะนี้" มีเนื้อหาระบุว่า ข่าวที่มีการพบโรคไอกรน ในวัยรุ่น นักเรียนและมีการปิดโรงเรียน จำเป็นหรือไม่ วันนี้จะขอให้ความรู้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง
1. โรคไอกรน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis เป็นโรคตั้งแต่โบราณ เรามีวัคซีนในการป้องกันและใช้ในประเทศไทยมาร่วม 50 ปี ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ มีอาการไอเรื้อรัง โรคนี้จะเป็นอันตรายในเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ปีโดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 3 เดือนอาจทำให้เสียชีวิตได้ และอาจจะมีปัญหาอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ผู้สูงอายุที่มีร่างกายอ่อนแอ ในเด็กโตและวัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่จะไม่เป็นปัญหามากเหมือนโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่งที่มียาปฏิชีวนะรักษา
2. เราใช้วัคซีนในการป้องกันโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ให้ตั้งแต่ 2 เดือนมาเกือบ 50 ปีและให้ตามกำหนดที่ 2 เดือน 4 เดือนแล้ว 6 เดือน กระตุ้นที่ขวบครึ่ง, 4 ขวบ รวมแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง และแนะนำให้มีการกระตุ้นอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะผู้มีสตางค์ ที่อายุ 10-12 ปี ด้วยใช้วัคซีนรวม โรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก
สำหรับผู้ใหญ่จะมีราคาแพงขึ้นโดยเฉพาะไอกรนสำหรับผู้ใหญ่จะเป็นชนิดที่เรียกว่า ไร้เซลล์ มีอาการข้างเคียงน้อย เราให้ความสำคัญกับคอตีบกับบาดทะยักมากกว่า ส่วนไอกรนในผู้ใหญ่จะมีราคาแพงจึงฉีดด้วยความสมัครใจเพราะโรคในผู้ใหญ่ไม่ร้ายแรง ยกเว้นผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีและมีร่างกายอ่อนแอเพราะโรคประจำตัว
3. วัคซีนที่ฉีดในระยะหลังนี้มี 2 ชนิด ชนิดที่ทำมาจากเซลล์ทั้งตัว และชนิดไร้เซลล์ ชนิดไร้เซลล์มีราคาแพงกว่าและอาการข้างเคียงโดยเฉพาะการเป็นไข้หลังฉีดน้อยกว่า ยาชนิดนี้จึงไม่ได้อยู่ในข้อบังคับของกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ที่จะให้ฟรี จึงฉีดกันเฉพาะในหมู่ผู้ที่สามารถจ่ายได้
4. ประสิทธิภาพของวัคซีน โดยรวมไม่แตกต่างกันทั้ง 2 ชนิด แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดวัคซีนที่ได้ฟรีที่ทำให้มีไข้ได้ นอกจากป้องกันโรคได้แล้วยังสามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อไอกรนมาที่หลอดลมทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี
ส่วนวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีไข้ต่ำจะไม่สามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อแบคทีเรีย colonization ได้ แบคทีเรียยังสามารถมาอยู่ที่คอและเพิ่มจำนวน แพร่กระจายได้ แต่ไม่ก่อโรคหรือมีการติดโรคก็มีอาการน้อยมาก ในเด็กถ้าเป็นลูกชาวบ้านส่วนใหญ่จะได้แบบของฟรี
ส่วนเด็กที่พ่อแม่ให้ความสนใจและกลัวความเสี่ยงที่มีไข้ ก็จะฉีดชนิดไร้เซลล์ โดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนที่มีชื่อทั้งหลาย โอกาสที่จะพบเชื้อที่คอจึงมีมากกว่า
5.เมื่อศึกษาภูมิต้านทานต่อไอกรนที่ศูนย์ของเราทำ จะพบว่า ภูมิต้านทานต่อไอกรนสูงมากใน 10 ปีแรก เมื่อหลังอายุ 10 ปีไปแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ได้ฉีดกระตุ้นภูมิต้านทานจะลดลงโดยเฉพาะในวัยรุ่นตรวจพบภูมิต้านทานได้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้น แต่ในอดีตก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะโรคไม่รุนแรง
6.การตรวจหาเชื้อไอกรน ในอดีตทำได้ยากมากเพราะต้องใช้วิธีการเพาะเชื้อและเชื้อนี้ขึ้นได้ยากและใช้เวลาในการตรวจมากแต่ปัจจุบันนี้การตรวจโรคทางเดินหายใจทำได้ง่ายมากใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง และสามารถทำได้ถึง 23 pathogens รวมไอกรนด้วย แต่ราคาก็แพงมากทำเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลใหญ่ๆซึ่งมีราคาค่าตรวจประมาณ 5,000 - 6,000 บาท ในนี้จะรวมเชื้อไอกรนอยู่ด้วย
ดังนั้น เด็กที่พ่อแม่มีฐานะเท่านั้น เมื่อไม่สบายเล็กน้อยก็อยากจะรู้ว่าเป็นเชื้ออะไร ก็ยอมที่จะทำการตรวจ และจากการตรวจจำนวนมาก จะได้เชื้อหลายชนิดพร้อมกัน ในการแปลผลบางครั้งยากมากว่าเป็นตัวไหนก่อโรค
การตรวจพบไอกรนด้วยวิธีนี้จึงง่ายมากและเมื่อพบเชื้อแล้วก็จะตื่นเต้น ทั้ง ๆ ที่อาการน้อยมาก หรือการพบเชื้อนี้อาจจะพบ เชื้อที่เกาะอยู่ colonization โดยไม่ได้ก่อโรค หรือเป็นการพบโดยบังเอิญเชื้อก่อโรคอาจจะเป็นตัวอื่นก็ได้ และอาการของเด็กก็ไม่ได้มากมายโดยเฉพาะในเด็กโตก็จะเกิดการตื่นตระหนก
ดังนั้น ถ้ามีการตรวจกันมากก็มีค่าใช้จ่ายมากก็จะเจอมาก โรงเรียนที่ลูกไม่มีสตางค์ โรงเรียนวัด โรงเรียนชนบทก็จะไม่มีโรคไอกรนระบาดแน่นอนเพราะไม่ได้ตรวจ
7. อย่างที่กล่าวมาแล้ว ครอบครัวที่สามารถจะใช้จ่ายได้ก็จะฉีดวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีราคาแพงกว่า เพราะกลัวอาการแทรกซ้อนเรื่องไข้ ดังนั้น โอกาสที่เชื้อไอกรนจะตรวจพบได้ก็จะมีมากกว่า แต่การก่อโรคจะไม่รุนแรงเลยโดยเฉพาะในเด็กโตหรือผู้ใหญ่และในอดีตที่ผ่านมาก็เชื่อว่า มีเชื้ออยู่ตลอดเพราะวัคซีนฉีดครั้งสุดท้ายที่อายุ 6 ขวบ เราเพิ่งเอาวัคซีนไอกรนมาฉีดในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ในระยะ 10 กว่าปีที่แล้วและฉีดอยู่ในหมู่ที่จะเสียเงินเองได้เท่านั้น
8. การพบเชื้อไอกรนในปัจจุบันในเด็กโตและผู้ใหญ่จึงเป็นการพบโดยมีเทคโนโลยี PCR ที่ทำได้ง่ายและรู้ผลเร็วแต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตรวจในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ
9. เมื่อมีการตรวจพบและตรวจมากขึ้นจะพบว่า มีการระบาด เพราะเป็นมากกว่า 2 คนและมักจะอยู่ในโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถตรวจเชื้อนี้ได้เท่านั้น ด้วยราคาที่แพงโรงเรียนทั่วไปจะไม่ระบาดแน่นอนเพราะไม่ได้ตรวจก็เลยไม่มีปัญหา
10. เมื่อพบการระบาดเกิดขึ้นมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปิดโรงเรียน ด้วยประการที่ 1 โรคนี้มีความรุนแรงต่ำในเด็กโตอาจจะน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่เสียอีกหรือน้อยกว่าโควิด 19 ส่วนใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัดทั่วไป และโรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีนการปิดโรงเรียนไปแล้วเมื่อเปิดมาก็จะพบเหตุการณ์แบบนี้อีก เราจะปิดต่อไปไหวหรือ
11. ทางออกที่ดีที่สุด คือ เมื่อพบหรือตรวจก็ทำการรักษาไปด้วยยาปฏิชีวนะและถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดในโรงเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถจะใช้จ่ายค่าวัคซีนได้ก็ควรจะให้วัคซีน จะให้วัคซีนชนิดไอกรนตัวเดียวหรือให้พร้อมกันทั้ง คอตีบ ไอกรน บาดทะยักสำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโตก็ได้โดยทำการตรวจเช็คว่าเด็กที่ฉีดวัคซีนเมื่อ 10-12 ปีที่มีไอกรนอยู่แล้ว อาจจะไปฉีดอีกครั้งหนึ่งทุก 10 ปี
เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดผู้ใหญ่ตอนอายุ 10-12 ปี และไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายก็ควรจะมีการกระตุ้นวัคซีนนี้ทุกคน
12. เมื่อเด็กได้รับวัคซีนครบแล้วถือเป็นเข็มกระตุ้น ภูมิต้านทานจะขึ้นได้ดีหลัง 7 วัน โรคก็จะสงบและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดโรงเรียนเพราะการเรียนของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การศึกษาก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กไทย
การเรียนในโรงเรียนดีกว่าเรียนออนไลน์แน่นอนและการให้วัคซีนเป็นการป้องกันระยะยาวอย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไปและโดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่เราก็ไม่ค่อยได้ตรวจกันทั้งที่เชื่อว่า ถ้าตรวจมากก็เจออีก
13. การปิดโรงเรียน 2 สัปดาห์ไม่เกิดประโยชน์เลย เพราะเปิดมาก็ต้องเจอกันอีก เชื้อไอกรนมีระยะฟักตัว 7-10 วัน ถ้าเป็นโรครุนแรง ถึงกับชีวิต การกักตัว ไม่ให้มีการระบาด เราจะใช้เวลา 2 เท่าของระยะฟักตัว ดังนั้น ก็จะเป็น 20 วันซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับโรคไอกรนในเด็กโตและผู้ใหญ่
14. การตื่นตระหนกและเป็นอะไรนิดหน่อยก็ตรวจหาเชื้อ 23 โรคเลย ไม่เป็นประโยชน์เลย เมื่อตรวจมาแล้วบางครั้งพบเชื้อ 3 4 5 ชนิด ไม่รู้เลยว่า ชนิดไหนก่อโรคและก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษามากมาย นอกจากในผู้ที่เป็นรุนแรงและการตรวจนั้นมาประกอบการรักษาโดยเฉพาะโรคที่มียาต้านไวรัสจะเป็นประโยชน์กว่า เช่น ตรวจเฉพาะไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19 เพราะ 2 โรคนี้มียาต้านไวรัส
15. ข้อคิดที่ให้มาทั้งหมดเป็นความรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจ สำหรับผู้ปกครองเพื่อลดการตื่นตระหนกโดยเฉพาะทุกคนเชื่อว่าห่วงลูกหลานของตนแต่เรื่องนี้ไม่ได้เรื่องใหญ่โตเลย อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่และเมื่อกระจายออกไปมาก ๆ ตรวจมาก ๆ เด็กก็จะขาดเรียนมาก ๆ โดยใช่เหตุ ควรพิจารณาตามสถานการณ์และข้ออ้างอิงทางวิชาการ