จากแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย พ.ศ. 2563-2567 รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณในการดำเนินการวงเงิน 4,470 ล้านบาท ล่าสุด นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า สำหรับแผนงานดังกล่าวมีโครงการที่มีความสำคัญ อาทิ การถอดรหัสพันธุกรรมผู้ป่วยชาวไทยใน 5 โรคสำคัญ ดังนี้
1.โรคหายากหรือ โรควินิจฉัยยาก
2.โรคมะเร็ง
3.โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
4.โรคติดเชื้อ
5.โรคทางเภสัชพันธุศาสตร์ จำนวน 50,000 ราย
การสร้างศูนย์ข้อมูลจีโนมแห่งชาติ และการสร้างศูนย์ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ เนื่องจากตัวอย่างสารพันธุกรรมที่จะนำไปทำการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ทั้งจีโนม จำนวน 50,000 ราย เป็นตัวอย่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และต้องการการบริหารจัดการที่ดี ตั้งแต่การรับตัวอย่าง การสกัดตัวอย่าง ที่ใช้เกณฑ์กำหนดมาตรฐานให้ตัวอย่างที่มีคุณภาพสูง สามารถนำไปทำการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมได้
คณะอนุกรรมการกำกับทิศทางแผนงานวิจัยจีโนมิกส์ประเทศไทย และภาคีเครือข่ายการวิจัยและการบริการภายใต้แผนฯ จึงเห็นชอบให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ เป็นผู้รับบริหารจัดการตัวอย่างของโครงการแบบรวมศูนย์ ซึ่งหมายรวมถึงการบริหารจัดการตัวอย่าง การสกัดสารพันธุกรรม และการเก็บรักษาตัวอย่าง ตั้งต้นและตัวอย่างสารพันธุกรรมทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นายแพทย์ยงยศ กล่าวต่ออีกว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของระบบการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพ จึงจัดตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพ หรือ ไบโอแบงก์ (Biobank) ตามระบบมาตรฐาน ISO 20387: 2018 ซึ่งเป็นมาตรฐานการเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพมาตรฐานสากล
มีขอบเขตที่ได้รับการรับรอง 4 รายการ คือ สารพันธุกรรมชนิด DNA, เลือดครบส่วน (Whole blood), บัฟฟี่โค้ต (Buffy coat) และพลาสมา (Plasma) ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 20387:2018 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567
โดยในปี 2568 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะขยายขอบข่ายขอการรับรอง ISO 20387: 2018 ในธนาคารทรัพยากรชีวภาพ นั้น เป็นคลังจัดเก็บตัวอย่างหยดเลือดแห้งบนกระดาษซับ และคลังผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง เช่น ผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดชนิด Dendritic cells (เซลล์เด็นไดรติค) เซลล์บำบัดชนิด Cytokine-induced killer cells(เซลล์เม็ดเลือดขาวคิลเลอร์เซลล์ที่ถูกชักนำด้วยไซโตไคน์)
เซลล์ Mesenchymal stem cells (เซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์) และ เซลล์ induced Pluripotent Stem Cells (เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากการเหนี่ยวนำเซลล์ร่างกายที่เจริญเต็มที่แล้ว) สำหรับใช้ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาวิธีรักษาผู้ป่วย
สำหรับการนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในอนาคต สามารถนำทรัพยากรชีวภาพทางการแพทย์ที่มีอยู่ไปศึกษาวิจัยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาคุณลักษณะพื้นฐานของเชื้อก่อโรค การตรวจวินิจฉัยรักษาโรค รวมทั้งการพัฒนาวัคซีนของหน่วยงานวิจัยต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถเปิดให้บริการสกัดสารพันธุกรรม จัดเก็บทั้งในระยะสั้นระยะยาว รวมทั้งการร่วมมือกับภาคเอกชน ใช้ข้อมูลในการทดสอบ และพัฒนาอุตสาหกรรมยา เภสัชกรรม
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีระบบการรักษาความลับและการถ่ายโอนข้อมูล อย่างเข้มงวดและรัดกุม เป็นไปตามมาตรฐานสากล และยึดมั่นในจริยธรรมการวิจัย เป็นการบริหารจัดการการเก็บ และเพิ่มมูลค่าตัวอย่างทางชีวภาพที่สำคัญของประเทศอย่างยั่งยืน
สามารถสอบถามรายละเอียดความร่วมมือการใช้ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ที่ สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ โทรศัพท์ 0 2951 0000 ต่อ 98095, 98096” นายแพทย์ยงยศ กล่าวทิ้งท้าย