เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้บริหารสูงสุดบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย และสิงคโปร์ ผู้ดำเนินธุรกิจด้านเวชศาสตร์ความงาม กล่าวว่า จากรายงานของ TRVST เผยว่า
แต่ละปีมีขยะที่เกิดจากอุตสาหกรรมความงามทั่วโลกมากกว่า 1.2 แสนล้านชิ้น โดยเฉพาะกลุ่มหัตถการความงาม (Aesthetics Waste) และตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจของ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท/ปี จากการจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์เสริมความงามที่ผลิตและนำเข้าจากทวีปยุโรป เกิดขยะที่เป็นหัว Ultherapy Transducer สูงกว่า 3,900 เมตร เมื่อเทียบกับการนำมาเรียงต่อกันเป็นหอไอเฟลมากถึง 12 หอ ในขณะที่กล่องผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีน้ำหนักรวมกัน 17.45 ตัน เท่ากับช้างแอฟริกันโตเต็มวัยถึง 3 ตัว
โดยตลาดด้านหัตถการความงามของประเทศไทยถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ ซึ่งในปี 2567 ทั้งยอดขายและขยะจากผลิตภัณฑ์ของ มิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ก็มีแน้วโน้มเติบโตขึ้นอีกตามเทรนด์ของผู้บริโภค จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวโครงการ "Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste" ร่วมกับ 12 คลินิกที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ด้วยการนำขยะจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับหัตถการความงามส่งคืนกลับมารีไซเคิล
ขยะที่ถูกส่งคืนในช่วงนำร่องโครงการ 3 เดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็นหัว Ultherapy Transducer ที่จะนำไปผ่านกระบวนการกลายเป็นถังอเนกประสงค์ “มานะ” จำนวนมากกว่า 1,936 หัว และบรรจุภัณฑ์กล่องสินค้ามากกว่า 131 กิโลกรัม ที่ส่งไปยังโรงงานเพื่อรีไซเคิล โดยได้จัดทำเว็บไซต์ติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ ถือว่าได้รับผลตอบรับดีมาก
"ตอนนี้เรานำหัว Ultherapy Transducer มาผลิตเป็น "มานะ" ได้ 193 ตัวแล้ว เป็นระยะที่อยู่ระหว่างเริ่มโครงการ ซึ่งมีคลินิกคู่ค้าที่เริ่มสนใจและกำลังจะเข้าร่วมโครงการมากกว่า 12 แห่ง ขั้นต่ำเรามองไว้อย่างน้อย 60 คลินิกต่อปี ในแต่ละพื้นที่ของคลินิกจะใช้ไม่เท่ากัน เฉลี่ยน่าจะประมาณ 1,000 หัวต่อเดือน ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพ 70-80% ที่เหลือจะอยู่ในต่างจังหวัด"
จากข้อมูลล่าสุด โครงการนี้เทียบเคียงการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ไปแล้วถึง 787 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์และภายในปี 2570 ตั้งเป้าที่จะขยายความร่วมมือกับคลินิกคู่ค้าสีเขียวเพิ่มขึ้นถึง 180 แห่ง ซึ่งจะสามารถช่วยกันลดคาร์บอนฟุตพรินต์จากขยะที่เกิดจากหัตถการความงามเท่ากับ 9,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์
เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ กล่าวว่า ปัจจุบันในภาพรวมขยะด้านหัตถการความงามเริ่มมีมากขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจ อยู่ที่ว่าแต่ละบริษัทจะมองเห็นการเติบโตและปัญหาในส่วนนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทยสามารถนำเวชภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ กลับมารีไซเคิลได้ 100% ทั้งหัว Ultherapy Transducer และกล่องผลิตภัณฑ์ ส่วนเข็มฉีดจะมีระบบการบริหารจัดการอยู่แล้ว
“การเปิดตัวโครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste ถือเป็นการพาวงการเวชศาสตร์ความงามของประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน ที่ไม่เพียงแต่เป็นการลดปริมาณขยะที่เกิดจากหัตถการความงาม แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เราเชื่อว่าความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คลินิกและพันธมิตรของโครงการฯ จะเป็นก้าวสำคัญในการนำพาธุรกิจไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว”
นายชนัมภ์ ชวนิชย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด กล่าวว่า รีไซเคิลเดย์เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste ที่ช่วยลดและจัดการขยะจากหัตถการความงามอย่างยั่งยืนของ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย โดยจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนานในด้านการจัดการและรีไซเคิลขยะมาตรฐานสากล มาช่วยผลักดันให้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้ในอนาคต
ด้าน นายธีรชัย ศุภเมธีกูลวัฒน์ นักออกแบบและผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ควอลี่ กล่าวว่า ที่มาของถังอเนกประสงค์ “มานะ” เกิดจากแนวคิดความยั่งยืนเป็นหลักการสำคัญของควอลี่ในการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนไปพร้อมกับการรักษ์โลก ซึ่งผลิตมาจากหัว Ultherapy Transducer ที่ใช้แล้วจากพาร์ทเนอร์คลินิกต่างๆ ของเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย นำมาผ่านกระบวนการ upcycle ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งและยังสามารถนำไปใช้ได้ประโยชน์จริงในชีวิตประจำวัน