14 มิถุนายน 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเพื่อรับมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านสาธารณสุข จังหวัดลำพูน โดยมี นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน นายรังสรรค์ มณีรัตน์ สส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย อสม. เข้าร่วมกว่า 500 คน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายที่จะเร่งรัดพัฒนาการแพทย์ปฐมภูมิให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้พี่น้องประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความสะดวก ใกล้บ้าน ไม่ต้องลำบากเดินทางไกล เพื่อไปโรงพยาบาลในเมือง ลดความแออัด และลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์
อสม. จะมีบทบาทสำคัญในระบบการแพทย์ปฐมภูมิของประเทศ ถือเป็นหมอคนที่ 1 ในการดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชนซึ่งจะเห็นได้จาก ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อสม. มีบทบาทสำคัญ ทั้งให้ความรู้ เรื่องวัคซีน และแนะนำประชาชนให้เข้าถึงบริการสุขภาพ ทำให้ความสำเร็จของการควบคุม การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ได้รับการยอมรับในระดับโลก
ผมทราบว่า อสม. ทำงานหนัก เสียสละตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมมาโดยตลอด ดังนั้น ผมพร้อมสนับสนุน และยกระดับ อสม.ให้เป็นผู้ช่วยพยาบาล ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สมาร์ท อสม. เพื่อพัฒนาศักยภาพ อสม. พร้อมเสริมสร้างขวัญกำลังใจ
การปฏิบัติงานของ อสม. โดยเฉพาะการดูแลเรื่องค่าป่วยการของ อสม. การผลักดัน พ.ร.บ. อสม. รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของ อสม.
ในวันนี้ ผมขอมอบชุดดูแลสุขภาพประชาชนเบื้องต้นให้แก่ อสม. ซึ่งประกอบไปด้วย 1.เครื่องวัดความดันโลหิต 2.อุปกรณ์วัดความเค็ม 3.ชุดปฐมพยาบาล 4.สมุดและปากกา 5.ชุดทดสอบฟอร์มาลินในอาหาร 6.ชุดทดสอบสารสเตียรอยด์ 7.แผ่นพับภัยร้ายน้ำมันทอดซ้ำ 8.ชุดทดสอบบอแรกซ์ในอาหาร และ 9.ชุดตรวจโคลิฟอร์ม โดยผมเชื่อว่า ชุดดูแลสุขภาพประชาชนดังกล่าว จะช่วยให้ อสม. ทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้นและมีประโยชน์กับพี่น้องประชาชน รมว.สาธารณสุข กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จังหวัดลำพูน ประชาชนมีรายได้ต่อหัว 2.2 แสนบาทต่อปี ถือว่า มีรายได้สูงสุดในภาคเหนือ แต่ก็มีคนเจ็บ และเสียชีวิตค่อนข้างสูง จึงเป็นภารกิจของสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมา ถือว่าสาธารณสุขลำพูน ก็ทำงานได้ดี เพราะมีความเข้าใจแพทย์ปฐมภูมิ โดยในอดีตเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ให้ไปหาหมอ แต่วันนี้ เรามี อสม.ช่วยในเบื้องต้น ก็จะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลได้ เพราะจากข้อมูลมีคนเข้าโรงพยาบาลปีละ 304 ล้านคน/ครั้ง ก็คือ 1 คน เฉลี่ยไปโรงพยาบาลปีละ 4-5 ครั้ง ดังนั้น ต้องพัฒนา อสม.เพื่อลดตัวเลขนี้
นอกจากนี้ อสม.ยังต้องช่วยขับเคลื่อนโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ โดยในอดีตเรามี 30 บาทรักษาทุกโรค ตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพอท่านกลับมา ก็กลายเป็น 30 รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จึงถือได้ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างเต็มที่ รวมถึงตน ก็กำลังจะรณรงค์การใช้ยาสมุนไพร เพราะที่ผ่านมา พบว่า มีการดื้อยา ตนจึงกำลังรวบรวมบุคลากรแพทย์แผนไทย 100 คน เพื่อมาช่วยถ่ายทอดความรู้ ด้วยแนวคิด "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไปหาหมอ"
จากนั้น นายสมศักดิ์ พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ต่อไปยังที่โรงพยาบาลลำปาง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานพัฒนาระบบบริการสุขภาพจังหวัดลำปาง โดยมี นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางร่วมต้อนรับด้วย
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จังหวัดลำปาง มีคนเข้าโรงพยาบาล 4 ล้านคน/ครั้ง โดยจังหวัดลำปาง มีประชาชนประมาณ 7 แสนคน จึงคำนวนได้ว่า มีคนเข้าโรงพยาบาลเฉลี่ยคนละ 6 ครั้งต่อปี ซึ่งจะทำอย่างไรให้เข้าแค่คนละ 3 ครั้ง ก็ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนด้วย ส่วนเรื่องการบำบัดผู้ติดยาเสพติด ก็ขอให้ช่วยกันแจ้ง เพราะหมอ พยาบาล จะได้ไม่ต้องอยู่ในความหวาดกลัว
ขณะเดียวกันตนก็กำลังผลักดันการใช้สมุนไพรไทยเพราะที่ผ่านมา พบการดื้อยาและยาเคมีบางตัว อาจพาไปเป็นมะเร็งหรือไม่ ซึ่งต้องตั้งรับให้ดี อย่าให้ผู้ป่วยมะเร็งร้องไห้กลับบ้านเพราะหมดวิธีรักษาโดยเราสามารถใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกสุดท้ายได้แต่ไม่รับรองหาย 100% แต่ก็เป็นการช่วยผู้ป่วยไม่ให้รู้สึกหมดหนทางของชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการตรวจเยี่ยม นายสมศักดิ์ ได้เซอร์ไพรส์วันเกิด นพ.ภานุมาศ ญาณเวทย์สกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยได้นำเค้ก และร่วมกันร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ พร้อมมอบกระเช้าดอกไม้ เป็นของขวัญ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น
นอกจากนี้นายสมศักดิ์ พร้อมคณะ ยังได้เดินทางต่อไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปางเพื่อพบปะ อสม.จังหวัดลำปาง จำนวน 500 คน โดยมี น.ส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ร่วมต้อนรับ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กำลังเร่งติดตามค่าเสี่ยงภัยโควิดกว่า 3 พันล้านบาทให้กับบุคลากรทางการแพทย์โดยได้ติดตามเรื่องให้แล้ว รวมถึงการร้องขอของข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขที่เสนอให้ออกจากข้าราชการ กพ. ตนก็ทราบว่า ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขจะจัดชั้นแบบกระทรวงอื่นไม่ได้เพราะจะตันและทำให้เสียโอกาส เนื่องจากมีบุคลากรจำนวนมาก ทั้งนี้ ตนก็ยังได้เร่งการเพิ่มบุคลากรแล้ว รวมถึงกำลังหาแนวทางการแก้หนี้ให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ และ อสม.ด้วย