"ศิครินทร์" ชูโมเดล 7C เสริมแกร่ง ดันกำไรทะลุพันล้าน

นายสุริยันต์ โคจรโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แผนดำเนินงานในปี 2567 โรงพยาบาลศิครินทร์ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นมากกว่าโรงพยาบาล ด้วยการเปิดตัวโครงสร้างธุรกิจใหม่ 7 กลุ่ม (7C) ได้แก่

1. Core : เน้นการดำเนินงานของ 3 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ, โรงพยาบาลศิครินทร์ สมุทรปราการ และโรงพยาบาลศิครินทร์ หาดใหญ่ ตลอดจนคลินิกเครือข่าย คลินิกพิเศษในโรงงาน โดยตั้งเป้าาจะทำกำไรให้ได้ปีละ 1,000 ล้านบาท

2. Care : เน้นเรื่อง Health & Wellness, Senior Care, Alternative Care และ life care เป็นกลุ่มที่ต่อยอดมาจากกลุ่ม Core มีฐานลูกค้าเฉพาะและตามเทรนด์ของสังคม เช่น เทรนด์ผู้สูงอายุ หรือธุรกิจแพทย์ทางเลือก พร้อมโปรดักต์ตัวใหม่อย่างครีม, วิตามิน เป็นต้น

3.Connect : กลุ่มส่งเสริมสุขภาพและธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เช่น การบริการเคลื่อนที่ การตรวจสุขภาพประจำปีของพนักงานที่มีสิทธิประกันสังคม โดยเริ่มทำโปรเจ็กต์นี้ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งให้บริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ไปไกลที่สุดคือ จ. เชียงใหม่

4.Corporate advancement : ธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาด้วยการจัดตั้ง Sikarin Academy สร้างบุคลากรทางการแพทย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างกระทรวงแรงงานมาร่วม

5.Cloud : กลุ่มที่เกี่ยวกับ HealthTech จาก Business to Business (B2B) ภายใน 2 ปีจะทำเป็น Business to Consumer (B2C) ทุกคนสามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นของ Sikarin หลังจากนั้นจะมีบริการส่งตรงถึงบ้าน

6.Contribute : เป็นตัวเสริมรายได้ เช่น ธุรกิจพื้นที่เช่าในโรงพยาบาล และ

7.Community services : กลุ่มที่ใช้กำหนดแนวทางการทำงานตอบแทนสังคม

โดยโรงพยาบาลตั้งเป้าไว้ว่าจะสร้างกำไรได้ 1,150 ล้านบาท แบ่งเป็นจากโรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ 750 ล้านบาท โรงพยาบาลศิครินทร์ สมุทรปราการ 120 ล้านบาท โรงพยาบาลศิครินทร์ หาดใหญ่ 180 ล้านบาท และศิครินทร์ Connect 100 ล้านบาท โดยพยายามไต่ระดับขึ้นไปให้ถึงจุดเดียวกันกับปี 2564

ขณะที่ยุทธศาสตร์ใน 2 ปีนับจากนี้ โรงพยาบาลจะเดินหน้าภายใต้ “3 Organic Growth” ประกอบด้วย 1. การขยายศักยภาพของโรงพยาบาล สร้างศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง 2. การสร้างรายได้ในกลุ่มผู้ประกันตน จาก 4 แสนรายเพิ่มมาเป็น 618,000 และสามารถรับเกินโควต้าได้อีก 30% หรือประมาณ 8 แสนราย 3. โรงพยาบาลเคลื่อนที่ทั้งตรวจสุขภาพและทันตกรรม ซึ่งอยู่ในกลุ่มคือ Connect ที่น่าจะมีมาร์จิ้นประมาณ 25% และกลุ่ม Core มีมาร์จิ้น 12-18% นอกจากนี้ยังมี “2 Inorganic Growth” ได้แก่ 1. Sikarin Academy 2. การออกโปรดักต์สินค้าใหม่ นอกจากนี้ผมตั้งใจจะเปลี่ยนวิชั่นของบริษัท จาก international Premium hospital เป็น better being ecosystem

นายสุริยันต์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2560 หลังจากแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างของกลุ่มทุน โครงสร้างธุรกิจ และพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ โรงพยาบาลศิครินทร์มีตัวเลขของฐานกำไรเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปี 2564 รายได้รวม 6,377 ล้านบาท ทำกำไรด้วยสถิติสูงที่สุด (นิวไฮ) 1,395 ล้านบาท หลังจากนั้นก็สามารถยืนระยะการเติบโตและมีผลประกอบการอยู่ในระดับพันล้านมาตลอด โดยปี 2565 รายได้ 5,711 ล้านบาท กำไร 1,011 ล้านบาท

สำหรับปี 2566 (9 เดือนที่ผ่านมา) มีรายได้ทะลุ 4,314 ล้านบาท และมีกำไรกว่า 692 ล้านบาท ถือว่ามีนัยสำคัญเป็นที่น่าพอใจ เพราะประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนแบรนด์ให้ลูกค้าได้รู้จักและมีความน่าเชื่อถือด้านคุณภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการยกระดับศูนย์การแพทย์เป็นสถาบันทางการแพทย์ สามารถรับเคสจากโรงพยาบาลอื่นๆ และดูแลโรคยากที่ซับซ้อนได้ แต่คาดกาฟรณ์ว่าตลอดทั้งปีจะมีกำไรได้ 900 - 1,000 ล้านบาท เพราะปัจจุบันยอดผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) รวมทั้งผู้ใช้บริการไม่ได้ลดลงจากช่วงโควิด-19 เลย

ปัจจุบันศิครินทร์มีภาพรวมในตลาดหลักทรัพย์เป็นที่น่าพอใจ มูลค่าตลาดหรือ Market Cap อยู่ที่ 2.06 หมื่นล้านบาท รั้งอันดับที่ 7-8 ในกลุ่มธุรกิจการแพทย์ และทั้ง 3 โรงพยาบาลของศิครินทร์สามารถสร้างรายได้รวมเฉลี่ย 5,000-6,000 ล้านบาท/ปี ถือว่าเติบโตขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 เกือบ 200% จากภาพสะท้อนที่ชัดเจนคือก่อนโควิด-19 กำไรหลักร้อยล้าน หลังโควิด-19 กำไรหลักพันล้าน

“วันนี้ศิครินทร์ยังคงเดินหน้าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างเข้มแข็ง กระแสเงินสดค่อนข้างสูงและไม่มีปัญหาด้านโครงสร้างของทุน การพัฒนาด้านต่าง ๆ สามารถใช้เงินทุนของตัวเองได้และยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เราไม่ได้คิดใหญ่มาก แต่อาศัยจุดแข็งเดิมแล้วต่อยอดธุรกิจไปเรื่อยๆ และในธุรกิจที่เราจะเริ่มทำในปี 2567 บางอย่างใช้เงินไม่มาก บางอย่างสามารถทำกำไรได้เลย แผนธุรกิจของเราค่อนข้างชัดเจนว่าอยากให้แบรนด์ศิครินทร์ไม่ใช่เพียงแค่แบรนด์พรีเมียม แต่สามารถดูแลคนทั่วไปได้ด้วย”

นอกจากนี้โรงพยาบาลศิครินทร์ยังเป็นโรงพยาบาลเอกชนในลำดับที่ 5 ของประเทศ ประกอบกิจการสถานพยาบาลจำนวน 354 เตียง (เดิม 258 เตียง) ในอนาคตมีแผนเพิ่มอีก 70 เตียง ซึ่งจะทำให้มีจำนวนเตียงรวม 424 เตียง ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ มีบริการประกอบด้วย บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ บริการผ่าตัดเปิดหัวใจ บริการสวนหัวใจ เพิ่มเติมล่าสุดในปีนี้คือ บริการแพทย์ทางไกล บริการรถเอกซเรย์ และบริการทันตกรรมเคลื่อนที่ สามารถวิ่งรถพยาบาลไปได้ทั่วประเทศไทย

นายสุริยันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์โดยภาพรวมที่ผ่านมาของปี 2566 บอกได้ยากว่าดีหรือไม่ดี อย่างช่วงเปลี่ยนรัฐบาลเรา ทุกคนคาดหวังว่าจะดี แต่กลับเกิดสภาวะที่ตลาดหุ้นตก ทั้งที่ได้นายกฯ ที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และน่าจะเข้าใจโครงสร้างส่วนนี้มากกว่าใคร

ตอนนี้ทุนถูกโยกไปต่างประเทศจำนวนมาก เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ต้องยอมรับว่าตอนนี้ประเทศไทยไม่ได้น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ปัจจัยภายนอกส่งผลต่อธุรกิจโรงพยาบาลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศ เพราะหากธุรกิจไม่ดี กำลังซื้อก็ไม่ดี และสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกตัดออกไปเพื่อจำกัดงบประมาณของบริษัทคือ สวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาลของพนักงาน

ฉะนั้น โรงพยาบาลจึงได้รับกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ซึ่งปี 2567 อาจจะได้เจอสถานการณ์แบบนี้อีก สำหรับโรงพยาบาลศิครินทร์ติดอันดับกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน และยังพัฒนาปรับยูนิฟอร์มใหม่เพื่อให้สอดคล้องไปกับแนวคิดการทำงานของบริษัทไปอีก 3 ปี มีโครงการ “ศิครินทร์ให้หัวใจเด็ก” 2566 พร้อมเงินบริจาครวมกว่า 1.7 ล้านบาท